“ทวิช”จี้”หมอวิชัย” เลิกขวางผู้ถือหุ้นใหญ่ฟื้นฟูธุรกิจ

07 เม.ย. 2560 | 08:36 น.
“ทวิช เตชะนาวากุล”ร่อนหนังสือถึง”หมอวิชัย” จี้หยุดสอดไส้วาระการประชุมบอร์ด ขวางผู้ถือหุ้นใหญ่เข้ามาฟื้นฟูกิจการ เรียกร้องตลาดหลักทรัพย์ฯ-ก.ล.ต. จัดการปัญหา ผวาสร้างบรรทัดฐานที่ผิด ทำให้นักลงทุนไทย-ต่างชาติ ขาดความเชื่อมั่นตลาดทุนไทย

นายทวิช เตชะนาวากุล ในฐานะผู้ถือหุ้นใหญ่และกรรมการ ของ บริษัท อินเตอร์ ฟาร์อีสท์ เอ็นเนอร์ยี่ (IFEC)  เปิดเผยว่า ในวันนี้ (7 เม.ย.2560) ได้ทำหนังสือถึงนายวิชัย ถาวรวัฒนยงค์ ประธานกรรมการ IFEC  พร้อมกับสำเนาถึง ผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และ เลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์(ก.ล.ต.) เพื่อเรียกร้องให้ประธาน IFEC ทำการประชุมให้ถูกกฎหมาย และเสนอวาระที่สำคัญที่บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ พึงปฏิบัติ โดยประเด็นสำคัญคือวาระการรับรองงบการเงินประจำปี 2559 และการแต่งตั้งผู้ตรวจสอบบัญชี

การประชุมบอร์ดควรกำหนดวาระให้ชัดเจน ไม่ใช่เตรียมสอดไส้ เพื่อหวังเพียงที่จะเอาชนะกลุ่มผู้ถือหุ้นใหญ่ ที่ได้รับการไว้วางใจจากผู้ถือหุ้นเลือกให้เป็นกรรมการเพื่อให้เข้ามาฟื้นฟูธุรกิจ  โจทย์ใหญ่ที่ IFEC ต้องเร่งแก้ไขคือ ทำอย่างไรให้ปิดงบการเงินของรอบยัญชีปี 2559 ให้ทันตามที่กฎหมายกำหนด และกำหนดแนวทางแก้ปัญหาหนี้ตั๋วบี/อี รวมถึงแผนการฟื้นฟูกิจการให้กลับมาแข็งแกร่งดังเดิม เพื่อเดินหน้าธุรกิจ และปลดเครื่องหมาย SP

สิ่งที่ประธาน IFEC เร่งดำเนินการ กลับเป็นการเรียกประชุมบอร์ด เพื่อแต่งตั้งกรรมการชุดใหม่ เพื่อกำหนดวันประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2560 เพื่อรับรองและแต่งตั้งกรรมการชุดใหม่ ทดแทนกรรมการชุดเดิมที่หมดวาระ เพียงเพื่อขัดขวางการเข้ามาของกลุ่มผู้ถือหุ้นใหญ่ที่ได้รับเลือกเข้ามาเป็นกรรมการมากถึง 5 ท่าน ในการประชุมวิสามัญเมื่อครั้งที่ผ่านมา

“หมอวิชัยควรหยุดเล่นเกมได้แล้ว และควรดำเนินการให้ถูกต้องตามกฎหมายกำหนด อย่างที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ และก.ล.ต.เตือน ซึ่งผมและบอร์ดชุดใหม่กังวลเรื่องนี้เป็นอย่างมาก”

นายทวิช กล่าวอีกว่า การบริหารงาน IFEC ภายใต้การดำเนินงานของนายแพทย์วิชัย ได้สร้างความเสียหายให้กับบริษัทฯมาโดยตลอด ถึงเวลาแล้วที่หน่วยงานกำกับดูแลอย่างสำนักงาน ก.ล.ต. และตลาดหลักทรัพย์ฯ ต้องเข้ามาจัดการปัญหาที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการนำหุ้น ICAP ที่มีมูลค่ากว่า 2,000 ล้านบาท ไปจำนองให้กับเจ้าหนี้ แลกกับจำนวนหนี้เพียง 200 ล้านบาท การนำโรงไฟฟ้าชีวมวลไปขายโดยได้รับเงินมัดจำมาแล้ว 50 ล้านบาท  ซึ่งประเด็นดังกล่าวเป็นเรื่องที่ใหญ่มาก ต้องนำเข้าสู่ที่ประชุมบอร์ดชุดใหญ่ ซึ่งนายวิชัย ยังกล้าที่จะกระทำเรื่องดังกล่าวลงไป หากปล่อยให้นายวิชัย ที่ถือหุ้นในสัดส่วนเพียงแค่ 2% ดำเนินการอย่างนี้ และทำทุกอย่างเพื่อที่จะได้กุมอำนาจบริหารงาน ท้ายที่สุดแล้ว จะทำให้เกิดบรรทัดฐานที่ผิดๆ ทำลายความเชื่อมั่นตลาดทุนไทย ในสายตาของนักลงทุนไทยและต่างประเทศ