กองหุ้นไทยแจก 9.7% SET50 ชนะตลาดทุกกอง-ชี้ดัชนีแกว่งแคบ

09 เม.ย. 2560 | 01:00 น.
เปิดผลงานกองทุนหุ้นไทยไตรมาสแรก กลุ่มกองทุนหุ้นทั่วไปกำไรสูงสุด เฉียด 10% รองลงมาหุ้นกลุ่มขนาดใหญ่ 4.78% กลุ่มหุ้นกลางและเล็ก4.14% ส่วนกองทุน SET50 เจ๋งผลงานชนะตลาดทุกกอง

สมาคมบริษัทจัดการลงทุน (AIMC) สำรวจผลตอบแทนในช่วงไตรมาส 1ปี 2560 ของกองทุนหุ้นไทย3 ประเภทตามนโยบายการลงทุน ผลงานสูงสุดคือกองทุนหุ้นทั่วไป (Equity General) ทำผลตอบแทนสูงสุด 9.70% และแย่สุดติดลบ 7.83% จากจำนวนกองทุนทั้งหมด 221 กองทุนโดยมีกองทุนที่ทำผลงานชนะดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ จำนวน67 กองทุน ผลงานเท่าตลาด1 กองทุนและแพ้ตลาดมากถึง 143 กองทุน ทั้งนี้เมื่อเทียบดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯในช่วงไตรมาส 1 ปี 2560ปรับตัวเพิ่มขึ้น 2.08%

สำหรับกองทุนหุ้นขนาดใหญ่ (Large Cap) ซึ่งกองทุนที่สร้างผลตอบแทนได้สูงสุด 4.78% และแย่สุดติดลบ0.83% จากจำนวนทั้งหมด 26กองทุน โดยมีกองทุนที่ทำผลงานชนะตลาดจำนวน 13 กองทุนและแพ้ตลาด 13 กองทุน ส่วนกองทุนหุ้นขนาดกลางและเล็ก(Equity Small-Mid Cap) ทำผลงานชนะตลาดเพียง 5 กองทุนและแพ้ตลาดมากถึง 13 กองทุนโดยกองทุนที่ทำผลตอบแทนได้สูงสุดอยู่ที่ 4.14% และแย่สุดติดลบ 6.07% จากจำนวนทั้งหมด 18 กองทุน

ส่วนกองทุนที่มีนโยบายลงทุนใน SET50 ซึ่งเป็นกองทุนประเภท PASSIVE FUND ลงทุนตามหุ้นอ้างอิงบนดัชนี จำนวนทั้งหมด 14 กองทุน สามารถทำผลงานได้ชนะตลาดทุกกองทุนโดยกองทุนที่ทำผลงานได้สูงสุดอยูที่ 5.27% ขอ้ มูล ณ 28 มีนาคม2560 และหากไม่นับกองทุนดังกล่าวโดยอิงจากข้อมูล ณ 31มีนาคม 2560 กองทุนที่ทำผลงานได้สูงสุดอยู่ที่ 3.98% และทำผลงานได้น้อยสุดอยู่ที่ 2.97%

นายสมิทธ์ พนมยงค์ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน(บลจ.) ไทยพาณิชย์ จำกัด เปิดเผยว่า ช่วงไตรมาสแรกตลาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้นได้ไม่มาก แม้ปัจจัยพื้นฐานตลาดหุ้นไทยยังดูดี แต่เนื่องจากดัชนีปรับตัวขึ้นมาสูงมากประมาณ 20%ในปี 2559 ขณะที่กำไรบริษัทจดทะเบียนทรงตัว เนื่องจากถูกกลุ่มพลังงานดึงภาพรวมดังนั้นดัชนีที่ปรับขึ้นมาจึงสะท้อนความสามารถในการทำกำไรในปีนี้ไปบางส่วนแล้ว

สำหรับแนวโน้มตลาดหุ้นในไตรมาส 2 นี้ คงแกว่งตัวในกรอบแคบๆ เนื่องจากหุ้น 3 กลุ่มหลัก ได้แก่ กลุ่มพลังงาน กลุ่มธนาคารพาณิชย์และกลุ่มสื่อสารโดยรวมไม่หวือหวา โดยมองราคานํ้ามันในตลาดโลกทรงตัว ไม่น่าจะผันผวนเหมือนในอดีต เพราะหากราคาปรับเพิ่มขึ้นสหรัฐอเมริกาก็จะผลิตออกมา ในทางกลับกันหากนํ้ามันลดลงกลุ่มโอเปกก็ผลิตน้อย ส่วนกลุ่มธนาคารพาณิชย์คาดว่าจะเติบโตในอัตราที่ไม่สูง เนื่องจากยังมีปัญหาหนี้ภาคครัวเรือนสูง แม้หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้(เอ็นพีแอล)จะดีขึ้นก็ตาม ส่วนกลุ่มสื่อสารกระแสเงินสดในกลุ่มดีขึ้นแต่กำไรอาจยังไม่เห็นเป็นรูปธรรม เนื่องจากบริษัทยังมีภาระต้องจ่ายค่าใบอนุญาตที่ประมูลคลื่น 4 จี

“หุ้น 3 กลุ่มใหญ่ภาพรวมยังดูดี แต่ไม่ตื่นเต้น ทำให้หุ้นไทยน่าจะเคลื่อนไหวในกรอบแคบๆ ขึ้นลงไม่มากและไม่น่าหลุด 1,500 จุด โดยลักษณะการลงทุนน่าจะเป็นการเปลี่ยนกลุ่มเล่น เมื่อหุ้นขึ้นก็ขายทำกำไรและโยกมาซื้อหุ้นที่ปรับตัวลงมาก ยิ่งตลาดแกว่ง การถือหุ้นตัวใดตัวหนึ่งคงไม่เหมาะ”นายสมิทธ์ กล่าว

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 37 ฉบับที่ 3,251วันที่ 9 - 12 เมษายน พ.ศ. 2560