วันนี้ (4 ม.ค.64) เวลา 14.30 น. พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานการประชุมศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือ ศบค. ที่ ตึกสันติไมตรี (หลังนอก) ทำเนียบรัฐบาล
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าในการประชุมศบค.ในวันนี้ ใช้มาตรการทางด้านสาธารณสุขอย่างเข้มงวด ทั้งจำกัดจำนวนผู้เข้าประชุม เว้นระยะห่าง สวมหน้ากากอนามัย ใช้การประชุมออนไลน์กับหน่วยงานต่างๆเพื่อลดการเดินทาง
โดยภายหลังการประชุม ปรากฏวาเจ้าหน้าที่สำนักโฆษก สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี นำโพเดี้ยมแถลงข่าวของสำนักนายกรัฐมนตรี มาตั้งที่ทางเชื่อมระหว่างตึกสันติไมตรี กับ ตึกไทยคู่ฟ้า เพื่อให้พลเอกประยุทธ์ แถลงข่าวก่อนขึ้นไปทำงานต่อบนตึกไทยคู่ฟ้า
ทั้งนี้เป็นที่น่าสนใจว่าโพเดี้ยมของพลเอกประยุทธ์ กลายเป็นโพเดี้ยมป้องกันโรค เพราะถูกปิดกั้นด้วยกระจกใสที่ทำมาจากแผ่นพลาสติกใสแผ่นหนาคลุมรอบสามด้าน ด้านข้างซ้ายขาวและด้านหน้า เพื่อป้องกันน้ำลายกระเด็นระหว่างการแถลงข่าว
สำหรับเนื้อหาในการแถลงของพลเอกประยุทธ์ ระบุว่า รัฐบาลกำลังเร่งตรวจสอบคัดกรองในหลายพื้นที่ โดยให้ความสำคัญกับการควบคุมผู้ป่วยติดเชื้อให้อยู่ในสถานที่ที่สามารถควบคุมได้ เพื่อนำเข้าสู่ระบบการตรวจสอบคัดกรองได้มากยิ่งขึ้น จำนวนตัวเลขผู้ป่วยแม้จะสูงขึ้น แต่แสดงให้เห็นว่ามาตรการในการควบคุมป้องกันอยู่ในระดับดีมากขึ้นเรื่อย ๆ อย่างไรก็ตาม อาจส่งผลกระทบต่อความยากลำบากในการเดินทางของพี่น้องประชาชนบ้าง จึงขออภัยในความไม่สะดวกและขอให้ประชาชนให้ความร่วมมือแก่เจ้าหน้าที่ด้วย
นายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า จากการรับฟังข้อเสนอจากสมาคมภัตตาคารไทยที่ได้รับผลกระทบเนื่องจากคำสั่งยกระดับมาตรการป้องกันโควิด-19 จึงได้ขอให้ยกเลิกคำสั่งของกทม. ไปก่อนและให้ขยายระยะเวลานั่งรับประทานอาหารที่ร้านอาหารได้จนถึง 21.00 น. แต่ต้องมีมาตรการเข้มงวดทั้งการกำหนดจำนวนคน เว้นระยะห่าง ผู้ประกอบการต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด หากไม่สามารถดำเนินการได้ อาจให้ปิดบริการ โดยนายกรัฐมนตรีย้ำว่าเข้าใจถึงสถานการณ์และไม่ต้องการให้เกิดผลกระทบรุนแรงต่อภาคธุรกิจ
ทั้งนี้ รัฐบาลได้เตรียมความพร้อมไว้แล้ว ทั้งมาตรการและการจัดหางบประมาณเพิ่มเติมเพื่อเตรียมการรับสถานการณ์ต่อไป
โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีเผยถึงความคืบหน้าในการจัดหาวัคซีนโควิด-19 ซึ่งได้ดำเนินการฉีดวัคซีนให้แก่ประชาชนไปบ้างแล้วในบางประเทศ ขณะที่ประเทศไทยคำนึงถึงความปลอดภัยของประชาชนเป็นหลัก ต้องผ่านมาตรฐานการรองรับจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา ไม่มีผลข้างเคียง ซึ่งมอบหมายให้กรมควบคุมโรคและสถาบันวัคซีนแห่งชาติทำงานร่วมกัน เบื้องต้น คาดว่าจะได้รับจากวัคซีนเบื้องต้นเป็นจำนวน 2 ล้านโดส ในระยะเวลา 3 เดือน โดยจะจัดลำดับการฉีดวัคซีนตามความเร่งด่วน และวัคซีนอีก 26 ล้านโดสจะเข้ามาในระยะต่อไป และจะมีเพิ่มเติมอีก 35 ล้านโดส ซึ่งคาดว่าจะทำให้สามารถฉีดวัคซีนแก่คนไทยส่วนใหญ่เกือบทั้งหมดได้ ทั้งนี้ ก็จะมีการพิจารณาหากมีความจำเป็นที่ต้องฉีดวัคซีนให้แก่ประชาชนทั้งประเทศ ก็มีความพร้อมในการผลิต
ในตอนท้าย นายกรัฐมนตรียังเตือนให้ประชาชนสวมใส่หน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้าอยู่ตลอดเวลา ซึ่งมีประสิทธิภาพในการป้องกันเชื้อไวรัสโควิด-19 ได้เช่นกัน ยืนยันว่า รัฐบาลทั้งนายกรัฐมนตรีและผู้ว่าราชการจังหวัด ทุกหน่วยงาน บูรณาการการทำงานบนพื้นฐานข้อมูลเดียวกันที่ผ่านการตรวจสอบข้อเท็จจริงแล้ว ขอให้ประชาชนมั่นใจรัฐบาลทำงานอย่างเต็มที่