ดอกเบี้ยฝาก0.00% แล้วไง ?

14 มิ.ย. 2559 | 00:00 น.
แทบช็อกเลยล่ะครับเมื่อได้ยินข่าวว่าธนาคารทหารไทยประกาศลดอัตราดอกเบี้ยเงินฝากลงเหลือ 0.00% เอาละทีนี้เมืองไทยสนุกแน่ เพราะกำลังเดินตามร่องบางประเทศที่เป็นสมาชิกสหภาพยุโรปที่ประกาศอัตราดอกเบี้ยเป็น 0.00% แล้วท้ายสุดก็ประกาศให้ดอกเบี้ยติดลบ ส่วนญี่ปุ่นก็ประกาศใช้อัตราดอกเบี้ยติดลบไปแล้ว สำหรับธนาคารพาณิชย์ที่นำเงินฝากธนาคารกลางประเทศญี่ปุ่น ซ้ำร้ายญี่ปุ่นก็เดินหน้ากู้เงินโดยไม่เสียดอกเบี้ยและไม่มีระยะสิ้นสุดของการกู้เงินของกิจการรัฐอีกต่างหาก

เมื่อวันพุธที่ผ่านมาเลยคลิกเข้าไปดูในเว็บไซต์แบงก์ทหารไทยพบว่า บัญชีเงินฝากออมทรัพย์ทั่วไปจ่ายดอกเบี้ย 0.125% และเมื่ออ่านข่าวหน้าการเงิน “ฐานเศรษฐกิจ” ฉบับวันพุธที่ 9 - 11 มิถุนายน 2559 รายงานข่าวว่า ภาพรวมของอัตราดอกเบี้ยเงินฝากต่ำสุด-สูงสุดของธนาคารพาณิชย์ประเภทออมทรัพย์พบว่าอยู่ระหว่าง 0.05 - 2.50% โดยเงินฝาก 3 เดือนอยู่ระหว่าง 0.25 - 1.75% เงินฝาก 6 เดือน 0.25 - 1.75% เงินฝาก 12 เดือน 0.25 - 1.875% เงินฝาก 24 เดือน 1.00-1.875% และรายงานอีกว่าการปรับลดลงของอัตราดอกเบี้ยเงินฝากออมทรัพย์บางธนาคาร (คงหมายถึงธนาคารทหารไทย) ที่ระดับ 0.00%ยังกลายเป็นประเด็นคาใจ ส่วนอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลูกหนี้รายใหญ่ชั้นดี (MLR) เฉลี่ยของธนาคารพาณิชย์จดทะเบียนในประเทศอยู่ที่ 6.96 % ส่วนลูกค้ารายย่อยชั้นดี (MRR)อยู่ที่ 8.26%

เมื่อเอาดอกเบี้ยเงินกู้ตั้งลบด้วยดอกเบี้ยเงินฝากแล้วส่วนต่างเยอะขึ้นกว่าเมื่อก่อนที่อยู่ระดับ 4% ตอนนี้ทิ้งห่างไปเล็กน้อย เรื่องนี้ผู้สื่อข่าวถามคนที่ธนาคารแห่งประเทศไทยเพื่อทวงถามความเป็นธรรม แต่เขาตอบว่าต้องไปดูส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิกับความเสี่ยงหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL)มีมากขึ้นเพียงไร หรือการคิดค่าความเสี่ยงมากเกินไปหรือไม่ ...เอาเป็นว่าเราและเขาก็รู้ว่าถ้าเอาดอกเบี้ยเงินกู้กับดอกเบี้ยฝากเทียบกันก็จะเห็นว่าช่องว่างห่างกันมากขึ้น

ผมว่าโลกสมัยนี้เปลี่ยนไปรวดเร็วมาก ก็เพิ่งจะเคยได้ยินนี่ล่ะครับว่าดอกเบี้ยเงินฝากได้ 0.00% ในไทย ส่วนต่างประเทศก้าวหน้าไปกว่าเรามาก คือดอกเบี้ยติดลบกันเลยทีเดียว และที่สำคัญยังไม่มีใครมามองอนาคตข้างหน้าว่า เมื่อโลกกำลังตกกระแสและอาจ "เข้าตาจน" โดยคิดดอกเบี้ยเงินฝากติดลบไปหมดแล้วจะแก้ปัญหากันอย่างไร หรือจะ "ปล่อยให้เงินส่วนเกินหรือเงินออม" ไร้ค่า และต้องเสียเงินค่าฝากเหมือนกับธนาคารบางประเทศในยุโรปหรือเปล่าก็ไม่รู้
ผมว่าทิศทางที่เกิดขึ้นนี้เป็นไปตามกระแสการเงินโลก สักวันหนึ่งเราก็ต้อง "ตกร่อง" เดียวกันเหมือนกับญี่ปุ่นเหมือนกับยุโรป เว้นเสียแต่ว่ายักษ์ใหญ่อย่างสหรัฐอเมริกา ยุโรป จะจับมือ "คืนดี" กับ "รัสเซีย" กันก่อน เพราะเท่าที่เห็นไม่ใช่ "ซีโร่ ซัมเกมส์" แต่ทว่าวจะแตกและพากันตายหมู่เลยทีเดียว ตอนนี้ทั่วโลกก็หวั่นไหวว่าอังกฤษจะถอนตัวออกจากสมาชิกสหภาพยุโรป (EU) และผมว่าไม่เพียงชาติอังกฤษชาติเดียวจะถอนออกตอนนี้ ผมประเมินว่าฝรั่งเศสก็น่าจะถอนตัวออกตามไปด้วย เพราะชาติฝรั่งเศสกำลังป่วยหนัก คนตกงานปกติปีละ 2 ล้านคนขณะนี้ตกงานกว่า 3 คนเข้าไปแล้ว เกิดสภาพ "รัดเข็มขัด" อย่างเต็มที่ หน่วยงานไหนคนออก ไม่ต้องจ้างคนเพิ่ม ถ้าหน่วยงานไหนคนขาดมาก ก็จ้างบริษัทเอกชนเข้ามาเหมาช่วงงานทำต่อ เพราะจ่ายค่าแรงถูกกว่าเดิมมาก

ผมว่าสิ่งที่จะเห็นชัดในระยะ 1-5 ปีนี้ จะเกิดการสะสมที่ดินกันขนานใหญ่(ยุโรปก็สะสม) หรือไม่ก็ซื้ออสังหาริมทรัพย์ดีกว่าฝากเงินธนาคารที่ดอกเบี้ยเงินฝากอยู่ในทิศทางขาลง ส่วนหนึ่งก็กว้านซื้อทองคำและเพชรเก็บไว้ เหมือนกับชาวยิวในอดีตที่นิยมเก็บเพชรและทองคำไว้ใกล้ตัว เพราะชาวยิวสมัยก่อนเก็บเป็นบ้านและที่ดินไม่ได้ เนื่องจากไร้สิทธิ์ แต่เก็บทองคำกับเพชรติดตัวไปไหนก็ได้อพยพก็สะดวก และด้วยเหตุนี้ชาวยิวถึงเป็นสุดยอดพ่อค้าเพชรที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกไง

สภาพเศรษฐกิจชะลอตัวลงอย่างนี้คนไทยส่วนใหญ่กำลังลำบาก จะกู้ธนาคารก็กู้ไม่ได้เพราะไม่มีหลักประกันที่ดีพอ หรืออนาคตธุรกิจไม่ดีพอ หรือเครดิตไม่ดีพอ คนเหล่านี้ทางออกสุดท้ายก็ต้องตัดใจเอาทรัพย์สินออกขายหรือเอาที่ดิน หรือเอาบ้านออกขาย เพื่อแก้ไขสภาพคล่องของตนเอง ส่วนเศรษฐีก็เก็บที่ดินได้สบายๆ เพราะจะมีซัพพลายที่ดินมากกว่าดีมานด์เยอะนั่นเอง

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 36 ฉบับที่ 3,165 วันที่ 12 - 15 มิถุนายน พ.ศ. 2559