เปิดหนังสือ “ขอให้ไต่สวน-ดำเนินคดี” “รัฐมนตรีคมนาคม”พัวพันที่ดินรถไฟ (จบ)

31 มี.ค. 2564 | 07:15 น.

เปิดหนังสือ “ขอให้ไต่สวน-ดำเนินคดี” “รัฐมนตรีคมนาคม”พัวพันที่ดินรถไฟ (จบ) : คอลัมน์ทางออกนอกตำรา ฐานเศรษฐกิจ ฉบับ 3666 หน้า 6 ระหว่างวันที่ 1-3 เม.ย.2564 โดย... บากบั่น บุญเลิศ

มาติดตามมหากาพย์การบุกรุกที่ดินการรถไฟฯ ที่ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชาติ ที่ร้องต่อป.ป.ช.ขอให้ไต่สวนและดำเนินคดีกับ นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รมว.คมนาคม และ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย ซึ่งฉบับที่แล้วผมนำหนังสือที่อ้างถึงศาลฎีกามีคำพิพากษา ที่ 8027/2561 คดีซึ่ง นายศุภวัฒน์ เกษมสุทธิ์ เป็นโจทก์ ยื่นฟ้องการรถไฟเป็นจำเลย เพื่อรังวัดขอออกโฉนดที่ดินที่ซื้อมาจากนายชัย ชิดชอบ ตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ น.ส.3 ข เลขที่ 200 ซึ่งการรถไฟ ทำหนังสือคัดค้านและต่อสู้คดีอ้างว่าที่ดินที่ขอออกโฉนดเป็นที่ดินของการรถไฟทั้งแปลง ซึ่งศาลฎีกามีคำพิพากษายกฟ้องและวินิจฉัยทำนองเดียวกันกับคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 842-876/2560  

ในหนังสือที่พ.ต.อ.ทวี ร้องต่อป.ป.ช.ระบุว่า กรณีของ นายศุภวัฒน์ เกษมสุทธิ์ ที่ยื่นฟ้องการรถไฟนั้น ข้อเท็จจริงปรากฏว่า นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ เลขาธิการพรรคภูมิใจไทย ได้แจ้งบัญชีทรัพย์สินเมื่อปี 2560-2561 ต่อ ป.ป.ช.ว่า ได้เป็นที่ปรึกษาให้กับ บริษัท ศิลาชัย บุรีรัมย์ 1991 และ หจก.บุรีเจริญคอนสตัคชั่น ซึ่งมี นายศุภวัฒน์ เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการ ได้รับค่าตอบแทนปีละ 4 แสนบาท นอกจากนี้ นายศุภวัฒน์ ยังได้บริจาคเงินให้กับพรรคภูมิใจไทย 2.77 ล้านบาท เมื่อเดือน ม.ค.2562 แสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดระหว่าง นายศุภวัฒน์ ผู้ฟ้องคดีการรถไฟ กับ นายศักดิ์สยาม รมว.คมนาคม ซึ่งมีหน้าที่กำกับดูแลการรถไฟ  

และเป็นที่น่าสังเกตว่า ในส่วนข้อมูลการจัดซื้อจัดจ้างภาคภาครัฐ พบว่า หจก.บุรีเจริญคอนสตัคชั่น เป็นคู่สัญญากับภาครัฐ อันเป็นหน่วยงานภายใต้สังกัดกระทรวงคมนาคม เช่น กรมทางหลวง และ กรมทางหลวงชนบท ได้รับงานเป็นจำนวนมาก และเป็นช่วงเวลาที่ นายศักดิ์สยาม ดำรงตำแหน่ง รมว.คมนาคม แสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิดสนิทสนมอย่างยิ่งระหว่างนายศักดิ์สยาม กับ นายศุภวัฒน์   

ดังนั้น เมื่อศาลฎีกามีคำพิพากษาถึงที่สุดแล้ว การที่ นายศักดิ์สยาม  จงใจละเว้นไม่สั่งการให้การรถไฟบังคับคดีให้เป็นไปตามคำพิพากษาของศาลฎีกาสังการให้การรถไฟขับไล่เรียกค่าเสียหายนายศุภวัฒน์ และราษฎร 35 ราย จึงเป็นการส่อเจตนาให้เห็นประจักษ์ชัดว่าต้องการช่วยเหลือนายศุภวัฒน์ ซึ่งเป็นพรรคพวกของตนเอง อีกทั้งเชื่อว่าการละเว้นการสังการดำเนินคดีกับผู้บุกรุกหรือการบังคับคดีจะทำให้ตนเองและเครือญาติที่ยู่ในที่ดินของการรถไฟจะได้รับผลกระทบไปด้วย  

นอกจากนี้ยังปรากฏว่า การรถไฟเป็นเคยเป็นโจทก์ ยื่นฟ้องเพิกถอนโฉนดที่ดิน, หนังสือรับรองการทำประโยชน์ น.ส.3 ขับไล่และเรียกค่าเสียหายราษฎร 4 รายเป็นจำเลย ซึ่งครอบครองอยู่ในที่ดินบริเวณ “เขากระโดง” ดังกล่าวข้างต้น ศาลจังหวัดบุรีรัมย์พิพากษาให้เพิกถอนโฉนด และให้รื้อถอนสิ่งปลูกสร้าง และให้ชดใช้ค่าเสียหายให้การรถไฟฯ จำเลยทั้ง 4 ราย ยื่นอุทธรณ์คำพิพากษาศาลชั้นต้น ซึ่งต่อมาวันที่ 22 เมษายน 2563 ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน 

ต่อมามีการอุทธรณ์คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 นายศักดิ์สยาม เข้ารับตำแหน่งเมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม 2562 กำกับดูแลการรถไฟฯ พบว่า ไม่ได้มีการปฏิบัติสั่งการให้ผู้ว่าการรถไฟฯ ดำเนินการฟ้อง รื้อถอนสิ่งปลูกสร้าง บังคับคดีขับไล่ผู้บุกรุกครอบครองที่ดิน อันเป็นที่สงวนหวงห้ามดังที่เคยฟ้องร้องก่อนที่นายศักดิ์สยาม เข้ารับตำแหน่งแต่อย่างใด 

จากคำพิพากษาของศาลฎีกา และมติคณะกรรมการ ป.ป.ช.จึงถือเป็นข้อยุติว่าที่ดินบริเวณ “เขากระโดง” ตามแผนที่ของการรถไฟทั้งแปลงเนื้อที่ 5,083 ไร่ 80 ตารางวา ต.อิสาณ อ.เมืองบุรีรัมย์ จ.บุรีรัมย์ ดังกล่าวข้างต้นเป็นของการรถไฟฯ ดังนั้น เอกสารสิทธิ์ใดที่ออกทับซ้อนพื้นที่ในที่ดินรถไฟจึงออกไม่ชอบด้วยกฎหมาย 
 

 


เมื่อมีคำพิพากษาของศาลฎีกาถึงที่สุด และมติคณะกรรมการ ป.ป.ช.ได้เคยชี้มูลจนเสร็จสิ้นยุติเป็นที่ประจักษ์ชัดแล้วว่า ที่ดินเป็นของการรถไฟ การที่นายศักดิ์สยาม  รมว.คมนาคม, สนามกีฬาช้างอารีน่า, บริษัท ศิลาชัย บุรีรัมย์ฯ นายศุภวัฒน์ เกษมสุทธิ์ และพวกพ้อง ได้บุกรุกครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินในพื้นที่ของการรถไฟโดยผิดกฎหมาย นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ เข้ารับตำแหน่ง รมว.คมนาคม เมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม 2562 จนถึงขณะวันที่มีการตอบชี้แจงการอภิปรายไม่ไว้วางใจของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ย่อมเป็นที่ประจักษ์ชัดแจ้งว่า นายศักดิ์สยาม ในฐานะ รมว.คมนาคม ได้รู้ข้อเท็จจริงการกระทำความผิดของตนเองและเครือญาติโดยสมบูรณ์แล้ว 

ดังนั้น จึงถือว่า นายศักดิ์สยาม จงใจบริหารราชการแผ่นดิน โดยเห็นแก่ประโยชน์ของตนเองและพวกพ้อง ไม่คำนึงถึงผลเสียแก่ประเทศชาติและประชาชน ไม่รักษาผลประโยชน์ของรัฐ มีผลประโยชน์ทับซ้อน ทุจริตต่อหน้าที่และปล่อยปละละเลย สมคบกันเพื่อปิดบังการทุจริต ไม่ยึดถือและปฏิบัติตามหลักการบริหารบ้านเมืองที่ดี ฝ่าฝืนและไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรง โดยเฉพาะ “ต้องถือผลประโยชน์ของประเทศชาติเหนือกว่าประโยชน์ส่วนตน และ ต้องปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ไม่แสวงหาผลประโยชน์โดยมิชอบ เพื่อตนเองและผู้อื่น” และกระทำผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ 

ด้วยเหตุผลดังกล่าวข้างต้น ข้าพเจ้าผู้มีรายชื่อท้ายคำร้องฉบับนี้ จึงขอกราบเรียนให้ประธานป.ป.ช.ดำเนินการไต่สวนและฟ้องร้องคดีต่อศาลฎีกากับ นายศักดิ์สยาม รมว.คมนาคม ให้ถึงที่สุด ในข้อหากระทำผิด ฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่มิชอบและโดยทุจริต ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 เป็นตัวการ และหรือผู้สนับสนุนให้ตนเอง ญาติพี่น้องและพวกพ้อง ที่ได้ยึดถือครอบครองเบียดบังที่ดินของการรถไฟอันเป็นการกระทำโดยมิชอบด้วยกฎหมายและโดยทุจริต 

ใช้อำนาจในตำแหน่งหน้าที่ปกป้องละเว้นและเลือกปฏิบัติ มีผลประโยชน์ทับซ้อน โดยไม่ดำเนินการฟ้องร้องดำเนินคดีกับเครือญาติ พวกพ้องและตนเอง และกระทำการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง ตามมาตรฐานทางจริยธรรมของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ และผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ รวมทั้งผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน และหัวหน้าหน่วยงานธุรการของศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระ พ.ศ. 2561 ซึ่งให้ใช้บังคับแก่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา และคณะรัฐมนตรี ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 มาตรา 219 วรรคสอง ประกอบข้อ 7 ข้อ 8 และข้อ 11 อันเป็นเหตุให้ความเป็นรัฐมนตรีของนายศักดิ์สยาม  รมว.คมนาคม สิ้นสุดลงเฉพาะตัว ตามรัฐธรรมนูญปี 2560  มาตรา 160 (5) และมาตรา 170 (4) 
 

อนึ่ง ด้วยพฤติการณ์เหล่านี้เมื่อศาลฎีกามีคำพิพากษาเมื่อ วันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2560 ตามคำพิพากษาฎีกาที่ 842-876 /2560 วินิจฉัยว่าที่ดินพิพาทเป็นที่ดินของการรถไฟ ให้เพิกถอนเอกสารสิทธิ์โฉนดที่ดินหนังสือรับรองการทำประโยชน์(น.ส.3) และสิทธิครอบครอง(ส.ค.1)เพราะการออกโฉนดหรือเอกสารสิทธิ์ใดๆไม่ชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งเป็นการที่ศาลวินิจฉัยตามแผนที่พิพาทของการรถไฟซึ่งมีเนื้อที่ 5,038 ไร่ 80 ตารางวา เป็นการวินิจฉัยครอบคลุมที่ดินทั้งแปลง (มิใช่เฉพาะราย) และคดีเป็นที่ยุติสิ้นสุดแล้วและคณะกรรมการ ป.ป.ช.มีมติแล้วด้วย  

เมื่อศาลฎีกามีคำพิพากษาถึงที่สุดแล้ว ตามประมวลกฎหมายที่ดินมาตรา 61 ที่บัญญัติรองรับว่า “เมื่อความปรากฏว่าได้ออกโฉนดที่ดินหรือหนังสือรับรองการทำประโยชน์.....ให้แก่ผู้ใดคลาดเคลื่อนหรือไม่ชอบด้วยกฎหมายให้อธิบดีหรือผู้ซึ่งอธิบดีมอบหมายซึ่งดำรงตำแหน่งรองอธิบดี หรือผู้ตรวจราชการกรมที่ดินมีอำนาจหน้าที่สั่งเพิกถอนหรือแก้ไขได้...” มาตรา 62 บัญญัติว่า “ บรรดาคดีที่เกิดขึ้นเกี่ยวด้วยเรื่องกรรมสิทธิ์ที่ดินที่ได้ออกโฉนดที่ดินแล้วเมื่อศาลพิจารณาพิพากษาคดีถึงที่สุดแล้ว ให้ศาลแจ้งผลของคำพิพากษาอันถึงที่สุดหรือคำสังนั้น ต่อเจ้าพนักงานที่ดินแห่งท้องที่ซึ่งที่ดินนั้นตั้งอยู่ด้วย”
 



พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ซึ่งเป็น รมว.มหาดไทย กำกับดูแลกรมที่ดินมาตั้งแต่ปี 2557 รวมดำรงตำแหน่งกว่า 6 ปี เศษ ย่อมเป็นที่ประจักษ์ชัดแจ้งว่า พล.อ.อนุพงษ์  น่าจะรู้ปัญหาและทราบคำพิพากษาของศาลฎีกาดังกล่าวแล้ว เนื่องจากในคดีที่ศาลฎีกาคำพิพากษากรมที่ดินนั้นตกเป็นจำเลยด้วย และศาลได้แจ้งผลคำพิพากษา ตามประมวลกฎหมายที่ดินดังกล่าวข้างต้นแล้ว แต่ พล.อ.อนุพงษ์ กลับละเลย เพิกเฉยละเว้นปฏิบัติหน้าที่ ไม่ดำเนินการสังการให้กรมที่ดินดำเนินการเพิกถอนโฉนดที่ดินที่ศาลมีคำพิพากษา ตลอดรวมทั้งโฉนดเลขที่ 3466 และ 8564 ต.อิสาณ อ.เมืองบุรีรัมย์ จ.บุรีรัมย์ ซึ่งเป็นกรรมสิทธิ์ของบริษัท ศิลาชัย บุรีรัมย์ฯ, นางกรุณา ชิดชอบ และบุคคลที่บุกรุกที่ดินองการรถไฟซึ่งเป็นสาธารณะสมบัติของแผ่นดินในพื้นที่ทั้งหมด  

การละเว้นปฏิบัติหน้าที่และการไม่บังคับใช้กฎหมายเป็นการฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญ มาตรา 53 บัญญัติว่า “รัฐต้องดูแลให้มีการปฏิบัติตามและบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด” และเมื่อกำหนดให้เป็นหน้าที่ของรัฐแล้ว หากมีการปล่อยปละละเลย ประชาชนอาจฟ้องร้องหน่วยงานของรัฐ หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐได้ ตามรัฐธรรมนูญฯ มาตรา 51 

ด้วยข้อเท็จจริงดังกล่าวข้างต้น พล.อ.อนุพงษ์ รมว.มหาดไทย ต้องดำเนินการให้กรมที่ดินเพิกถอนคำสังต่างๆ ของกรมที่ดินที่ออกไม่ชอบด้วยกฎหมาย และเพิกถอนโฉนดที่ดินที่ออกโดยมิชอบด้วยกฎหมาย ตามคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 842-876/2560 ลงวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2560 แต่กลับปรากฏว่า เมื่อวันที่ 7 มิถุนายน 2561 พล.อ.อนุพงษ์ รมว.มหาดไทย ซึ่งกำกับดูแลกรมที่ดิน กับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เดินทางไปยังสนามฟุตบอล ช้างอารีน่า หรือ สนามฟุตบอลบุรีรัมย์ยูไนเต็ด ที่เป็นของเครือญาติของนายศักดิ์สยาม ครอบครองใช้ประโยชน์บุกรุกที่ดินของการรถไฟแห่งนี้ด้วย ย่อมแสดงให้เห็นถึงการละเว้นการปฏิบัติตามหน้าที่ ไม่รับผิดชอบไม่ปกป้องผลประโยชน์ของรัฐ 

แต่กลับแสดงพฤติกรรมเสมือนเป็นผู้สนับสนุน ช่วยเหลือเอื้อประโยชน์ เพื่อประโยชน์ทางการเมือง และไม่ใช้อำนาจทำหน้าที่ของตนทำการเพิกถอนโฉนดที่ 3466 และ 8564 ซึ่งออกทับที่การรถไฟ ทั้งที่มีความเห็นของคณะกรรมการกฤษฎีกาฯ ปี 2541ผลการสอบสวนของคณะกรรมาธิการวิสามัญฯวุฒิสภาเมื่อปี 2548 และผลการไต่สวนของ ป.ป.ช.ปี 2554 ตลอดจนมีคำพิพากษาศาลฎีกาปี 2560-2561  

การไม่ยอมเพิกถอนเป็นการแสดงให้เห็นว่า กรมที่ดินตกอยู่ใต้อิทธิพลการเมือง อันเป็นแหล่งทุจริตคอร์รัปชันมาโดยตลอด ทำให้รัฐต้องสูญเสียที่ดินที่เป็นสาธารณะประโยชน์ของแผ่นดินจำนวนมหาศาล อันเป็นปัญหาสำคัญของประเทศชาติ จึงแจ้งมาเพื่อเป็นเบาะแสข้อมูลให้กับคณะกรรมการป.ป.ช.เพื่อดำเนินการต่อไป 
จึงกราบเรียนมาเพือโปรดดำเนินการ ตามรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2560 มาตรา 234 (1) ต่อไปด้วย

ต้องรอดูว่า ป.ป.ช.จะไต่สวนและดำเนินการอย่างไร ขอบอกว่าที่ดินของรัฐนั้น เป็นเรื่องของคนไทยทุกคนที่ต้องร่วมกันปกป้อง!