ปฏิบัติการล้างอาชญากรรม อย่าเพิ่งติเรือทั้งโกลน

11 ก.พ. 2564 | 23:30 น.

บิ๊กปั๊ดลั่นตร.ไม่หวั่นไหว จะจับใครกลัวผลกระทบ แล้วสังคมจะอยู่อย่างไร

“ยืนยันในชีวิตไม่เคยรู้จัก "หลงจู๊”อะไร ไม่เคยคุยกัน แค่เคยได้ยินชื่อ มีข่าวสารว่าเขาทำอะไร แต่ข่าวอย่างเดียวมันดำเนินคดีได้หรือไม่ ก็ต้องมีพยานหลักฐานว่าไปตามกฎหมาย หากเราไม่ยึดกฎหมาย ใครจะยึด ขอให้ดูกันไป" พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ กล่าวในวันที่ 10  ก.พ.2564

ก่อนเช้าวันรุ่งขึ้น 11 ก.พ.2564  ชุดปฏิบัติการพิเศษของกองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 2 ภายใต้การนำของ พล.ต.ท.รอย อิงคไพโรจน์ ผู้ช่วยผบ.ตร.และรักษาการผบช.ภ.2 พร้อมชุดปฏิบัติการพิเศษพิเศษหนุมาน นำโดย พล.ต.ต.จิรภพ ภูริเดช รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง(บชก.) นำกำลังตรวจค้น 5 เป้าหมาย 10 จุดในจ.ระยอง

และ 1 ในเป้าหมาย จุดที่ 2 ที่ตร.บุกค้นและตรวจสอบเป็นบ้านพักของ สมชาย จุติกิติ์เดชา หรือ หลงจู๊สมชาย โดย นายสมชาย นำตร.ค้นด้วยตัวเอง หลังตำรวจแสดงหมายค้นก่อนควบคุมตัว สมชาย ไปสอบสวน

ตร.แสดงหมายศาลจับกุม สมชาย หรือ หลงจู๊ จุติกิติ์เดชา ตามหมายจับศาลแขวงระยองที่ จ.18/2564 ลงวันที่ 10 ก.พ.64 ข้อหา “ร่วมกันเป็นผู้จัดให้มีการเล่นการพนัน พนันเอาทรัพย์สินกันโดยไม่ได้รับอนุญาต” นำส่งพนักงานสอบสวนดำเนินคดีตามกฎหมาย

ทางการสืบสวนกลุ่มนี้โยงกับตู้สล็อตที่ขนออกนอกพื้นที่ภาคตะวันออกไปยังภาคตะวันออกเฉียงเหนือก่อนหน้านี้ และได้พบเงินหมุนเวียนหลายสิบล้าน

บิ๊กปั๊ตบอกว่าผู้ต้องหายังไม่ให้การใด ๆ ไม่ได้กล่าวอะไร ไม่ได้ยอมรับหรือปฏิเสธอะไรเลย ซึ่งพนักงานสอบสวนจะสอบสวนอีกครั้ง ตามข้อกล่าวหาร่วมกันเป็นผู้จัดให้มีการเล่นการพนัน และจะต้องดำเนินการตาม พ.ร.บ.ฟอกเงินด้วย

“ไม่ใช่เพราะกดดันอะไรที่ทำ อยากเรียนว่าการสร้างประเด็นหรือกระแสบั่นทอนเจ้าหน้าที่ขอให้พิจารณาให้ดีให้ฟังโดยใช้วิจารณญาณ ตำรวจไม่เคยหวั่นไหว ทำงานไปเรื่อย ๆ อาจถูกใจบ้างไม่ถูกใจบ้าง แต่เราตั้งใจทำ

ก่อนหน้านี้ตร.ได้บุกจับ เสี่ยโป้-อานนท์ โดยกำลังขยายผลการจับกุม ซึ่งบิ๊กปั๊ดบอกว่า  ที่ผ่านมาผู้ต้องหาที่มีเงินจำนวนมาก จะเรียนรู้ว่าอะไรที่เป็นพยานหลักฐานให้เขาติดคุก เขาจะไม่ทำ เช่น หลักฐานเส้นทางการเงิน ตำรวจไม่ได้หาเจอง่ายๆ ผู้ต้องหาจะกลัวที่สุดเรื่องการฟอกเงิน เราต้องหาเส้นทางการเงินให้ได้ แม้ว่ามันจะยาก ก็ต้องทำ

ในแต่ละคดีที่ทำต้องใช้เวลา และร่วมกันทำหลายหน่วย แต่ตำรวจไม่สามารถมานั่งพูดให้ใครฟังได้ว่าทำอะไรอยู่ ซึ่งเมื่อจับกุมแล้วต้องเอาให้ลง

"ผมบอกแล้วว่าเป็นองค์กรอาชญากรรม ถ้าเราไม่ทำ เอาเขาไม่ลง ต่อไปตำรวจจะมีใครกล้าจับเรื่องแบบนี้ มันมีแต่เรื่อง ไม่ได้อะไร ซึ่ง ศปอส.ตร. จับมาตลอด ไม่ใช่เพิ่งมาทำ และทุกคดีไม่มีที่ผู้ต้องหาจะไม่สู้คดี”

ทั้ง 2 ปฏิบัติการที่ต่อเนื่องตามกัน พอจะแลเห็นว่าผบ.ตร.มีความตั้งใจจริงและความมุ่งมั่นในการกวาดล้างขบวนอาชญากรรมพอสมควร และไม่ได้หวั่นเกรงว่าจะต้องได้รับแรงกดดันจากฝ่ายใดใด หรือองค์กรใดใดที่มีส่วนอิงแอบแนบแฝงกับขบวนการพวกนี้

และยังสะท้อนตัวตนและหลักการทำงานจากที่ได้สนทนากับผบ ตร.คนนี้ก่อนหน้านี้ “ผมไม่ค่อยชอบพูด แต่ชอบทำให้เห็นมากกว่า จะชวนลูกน้อง ชวนรองผบ.จูงมือไปด้วยกันไปทำ  ต้องพยายามทำงานออกมา การมานั่งชี้แจง บางครั้งทำไม่ได้ เพราะไม่ได้อยู่ในฐานะที่พูดได้ทุกเรื่อง”ผบ.ตร.ว่า

ขบวนการอาชญากรรมเริ่มหนาวยะเยือก เมื่อผบ.ตร.ตั้งหลักได้ ซึ่งเป็นตามคำยืนยันอย่างหนักแน่นที่ว่า "ถ้าตำรวจหวั่นไหวต่อไปไม่มีใครทำอะไร จะจับใครก็กลัวผลกระทบ แล้วสังคมจะอยู่กันอย่างไร จะอยู่กันแบบนี้ใช่หรือไม่ เรื่องสร้างกระแสด่ากัน ผมก็ด่าคนเป็น ไม่ใช่ไม่เป็น แต่ผมไม่ทำเพราะเราอยู่ในฐานะที่ต้องดูแลลูกน้องเป็นแสน มีหน้าที่ต้องทำ"

อันนี้เป็นการย้ำไปที่ลูกน้องไม่ให้เกิดการหวั่นไหว และไม่สนกระแสที่พยายามบั่นทอนภาพลักษณ์และการทำงานของตำรวจ

สอดรับกับที่ก่อนหน้านี้ก็บ่งบอกตัวตนว่าไม่หงอใคร  เหมือนกับที่มีความพยายามประสานร้องขอให้ไปพบปะกับผู้ยิ่งใหญ่คนหนึ่ง ที่เป็นถึงแกนนำของมวลชนผู้มากบารมี แต่ได้รับการปฏิเสธอย่างขึงขังจากผบ.ตร.คนนี้

ปฏิบัติการกวาดล้างอาชญากรรมรอบนี้ เป็นความตั้งใจของ “บิ๊กปั๊ด” ผู้นำสูงสุดขององค์กรตำรวจ 2 แสนนาย ที่ต้องการเวลาและโอกาส สะสางปัญหาที่หมักหมม

บางทีสังคมก็ต้องให้เวลา ให้โอกาส ให้ความเป็นธรรมกับตร.บ้าง

ให้เขาทำงานตามหน้าที่ อย่าไปติเรือทั้งโกลนกันเลย

แต่ถ้าทำแล้วไม่ได้เรื่อง ไม่เป็นโล้เป็นพาย ค่อยมาว่ากันยังไม่สาย !!