เมื่อประชาชนสั่งสอน ‘ธนาธร’ และ ‘คณะก้าวหน้า’

22 ธ.ค. 2563 | 12:00 น.

เมื่อประชาชนสั่งสอน ‘ธนาธร’ และ ‘คณะก้าวหน้า’ : คอลัมน์ข้าพระบาททาสประชาชน ฐานเศรษฐกิจ ฉบับ 3638 หน้า 6 ระหว่างวันที่ 24-26 ธ.ค.2563 โดย...ประพันธุ์ คูมมี

 

วันอาทิตย์ที่ 20 ธันวาคม 2563 เป็นวันเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) และสมาชิกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (ส.อบจ.) ทั่วประเทศ ซึ่งถือเป็นการเลือกตั้งตัวแทนประชาชนผู้บริหารท้องถิ่นที่มีความสำคัญต่อการปกครองระบอบประชาธิปไตย ครั้งแรกหลังประกาศใช้รัฐธรรมนูญปี 2560 ภายหลังเหตุการณ์การยึดอำนาจของ คสช.
 

ผลการเลือกตั้งแม้จะยังมิได้ประกาศรับรองอย่างเป็นทางการ จากคณะกรรมการการเลือกตั้งแต่ข่าวก็ปรากฏเป็นที่ทราบกันโดยทั่วไปว่าผู้สมัครนายก อบจ.ที่ คณะก้าวหน้า โดย นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ,นายปิยบุตร แสงกนกกุล และ นางสาวพรรณิการ์ วานิช กับพวก ให้การสนับสนุนและส่งลงสมัครชิงตำแหน่งทั้งสิ้น 42 จังหวัดทั่วประเทศ ต่างพ่ายแพ้การเลือกตั้ง สอบตกยกล็อตทั้งหมด แบบฝันร้ายและหน้าแตกชนิดหมอไม่รับเย็บ แม้แต่ผู้สมัคร ส.อบจ.เขต 10 จ.ระนอง ทั้งๆ ที่ไม่มีคู่แข่งแม้แต่คนเดียว ผลคะแนนออกมายังแพ้ VOTE NO อย่างราบคาบ โดยผู้สมัครของคณะก้าวหน้าได้ 1,039 คะแนน ขณะที่คะแนนไม่ประสงค์ลงคะแนน (VOTE NO) มีมากถึง 1,129 คะแนน เป็นที่น่าอับอายยิ่งนัก


ผลการเลือกตั้งครั้งนี้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า “คนไทยไม่เอาด้วยและไม่ยอมรับพวกแนวคิดต่อต้านสถาบันพระมหากษัตริย์ ที่มีแผนการจะพลิกฟ้าคว่ำแผ่นดิน มุ่งเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองประเทศ” จึงต้องเผชิญกับกระแสที่คนไทยทั่วประเทศออกมาต้านคณะก้าวหน้า ด้วยเพลง “หนักแผ่นดิน” ออกฤทธิ์สำแดงเดชผ่านผลการเลือกตั้งดังกล่าว
 

พิจารณาจากความเคลื่อนไหวที่ปรากฏตามข่าวสาร พวกคณะก้าวหน้าต่างหมายมั่นปั้นมือว่า จะใช้การเลือกตั้งท้องถิ่นเป็นพื้นฐานและเป็นบันไดนำทางไปสู่การต่อสู้ช่วงชิงอำนาจรัฐในขอบเขตทั่วประเทศ ด้วยความทนงตนที่ได้ชัยชนะจากการเลือกตั้งผู้แทนราษฎรครั้งที่ผ่านมา ที่พรรคอนาคตใหม่ก่อนถูกยุบ ได้รับเลือกตั้งมาถึง 70-80 เสียงนั้นว่า เป็นชัยชนะที่ประชาชนและคนรุ่นใหม่ให้ความนิยมพรรคพวกของตน
 

โดยลืมตัวไปว่าแท้จริงแล้ว เหตุที่พรรคได้ ส.ส.มามากแบบพลิกล็อกเช่นนั้น เกิดจากส้มหล่น ด้วยเหตุบังเอิญที่พรรคไทยรักษาชาติโดนยุบก่อนเลือกตั้งต่างหาก จึงเกิดปรากฏการณ์ที่มีการผ่องถ่ายคะแนนมาให้พรรคอนาคตใหม่ด้วยเหตุจำเป็น หาใช่เพราะคนนิยมพรรคคนรุ่นใหม่อย่างที่พวกเขาเย่อหยิ่งทนงตนแต่อย่างใดไม่
 

การเย่อหยิ่งลำพองตนจนมองข้ามความเป็นจริงเช่นนี้ จึงทำให้พวกเขาประเมินสถานการณ์และสำคัญตนเองผิด ไม่เข้าใจสภาพทางสังคมและวัฒนธรรมของคนในสังคมไทย นำมาสู่การกำหนดยุทธศาสตร์ ยุทธวิธีและกลยุทธ์ทางการเมืองที่ผิดพลาด สวนทางกับความคิดความรู้สึกและความต้องการของประชาชนคนส่วนใหญ่ ทำอะไรไม่เกรงใจเหยียบย่ำจิตใจคนไทย
 

คณะก้าวหน้าที่ทำตนประหนึ่งพรรคการเมือง ภายใต้การขับเคลื่อนของนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ กับพวก วาดฝันไว้สูงได้ยอมทุ่มทุนลงแรงออกเดินสายช่วยผู้สมัครที่ส่งลงชิงตำแหน่งนายก อบจ.และ ส.อบจ. เฉพาะผู้สมัครนายก อบจ.ส่งลงทั่วประเทศทั้งหมด 42 คน ภาคเหนือ 7 จังหวัด ภาคอีสาน 13 จังหวัด ภาคกลาง 12 จังหวัด ภาคใต้ 5 จังหวัด และ ภาคตะวันออกอีก 5 จังหวัด ชูประเด็นหาเสียงหวังจะเข้าไปทำการเปลี่ยนแปลงบ้านเมือง โดยเหยียบย่ำกล่าวหาคนรุ่นเก่าที่เคยบริหารในอดีตที่ผ่านมา ทั้งประกาศชัดว่า จะใช้การเมืองสนามท้องถิ่นนี่แหละไปสู่การเปลี่ยนแปลงการเมืองระดับชาติในอนาคต
 

พูดง่ายๆ ก็คือหวังสร้างฐานการเมืองท้องถิ่น เพื่อยึดอำนาจการเมืองระดับชาติ ตามแนวคิดของพวกเขา อันเป็นทราบกันดีว่าพวกเขามุ่งหวังเห็นระบอบการปกครองแบบใด ที่ประชาชนไม่พึงปรารถนา ผลจึงปรากฏผิดคาดสอบตกกันยกชุด ไม่ได้แม้แต่คนเดียวด้วยแรงต้านจากสังคม เพราะการเมืองท้องถิ่นมิได้ส่งผลกับการเมืองระดับชาติ แต่อย่างใด จะอาศัยการสร้างกระแสวูบวาบมาสร้างความนิยมให้พวกตนหาได้ไม่


ผู้ใช้สิทธิเลือกตั้งส่วนใหญ่ในระดับท้องถิ่น พวกเขาต้องการคนที่ทำงานดูแลรับใช้ใก้ลชิดประชาชน ที่สามารถแก้ปัญหาใกล้ตัวและใส่ใจเรื่องชีวิตความเป็นอยู่ของคนในท้องที่และชุมชนเป็นสำคัญ และต้องเป็นคนที่ประชาชนเข้าถึงง่ายและพึ่งพาได้ โดยเป็นที่รักและเคารพของคนในชุมชนและทำประโยชน์แก่จังหวัด
 

นี่คือบทเรียนครั้งสำคัญ ที่ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ, นายปิยบุตร แสงกนกกุล, นางสาวพรรณิการ์ วานิช กับพวกคณะก้าวหน้าทั้งหลาย รวมไปถึงพวกม็อบเยาวชนปลดแอก และคณะเรี่ยราด ที่จัดการชุมนุมแบบจำอวด ตลกการเมือง พึงจะได้ตระหนักให้จงหนัก ต้องรู้จักถ่อมตนศึกษา และเก็บรับบทเรียน
 

เพราะผลของการเลือกตั้งครั้งนี้ ย่อมปฏิเสธไม่ได้ว่าเป็นผลที่ต่อเนื่องมาจากการที่พวกคณะก้าวหน้า ได้แสดงจุดยืนทางการเมืองของตนต่อเรื่องสถาบันพระมหากษัตริย์ และออกมาประกาศสนับสนุนการชุมนุมอันไม่ชอบด้วยกฎหมาย สร้างความเดือดและเป็นที่รังเกียจของประชาชนทั่วประเทศอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้นั่นเอง
 

ผลของการเลือกตั้งดังกล่าว บ่งชี้ให้เห็นโดยปราศจากข้อสงสัยว่า ประชาชนไม่ต้องการพวกคุณ และประชาชนส่วนใหญ่ยังยึดมั่นและต้องการระบอบการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข มิใช่ระบอบสาธารณรัฐแบบประธานาธิบดี หรือ ระบอบคอมมิวนิสต์ อย่างที่พวกคุณโฆษณาป่าวประกาศในทุกๆ วันแต่อย่างใด
 

การคิดจะเปลี่ยนแปลงการปกครองประเทศ เปลี่ยนแปลงสังคมไทย แต่พวกเขากลับไม่ศึกษาและไม่เข้าใจประเทศไทย ไม่เข้าใจคนไทย และสังคมไทย แม้แต่น้อย แนวทางการเมืองที่พวกเขากำลังเดินและชูขึ้นเป็นธงนำการเคลื่อนไหว ล้วนแต่เป็นปฏิปักษ์อย่างรุนแรงกับประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศ จึงทำให้พ่ายแพ้การเลือกตั้งแบบหมดรูป
 

แต่พวกเขาก็ยังลอยหน้ามาแถลงแบบมิได้มีความสำนึกและเข้าใจถึงสาเหตุแห่งความพ่ายแพ้ของตนแต่อย่างใด ยังคุยโวว่าความนิยมของพรรคตนมิได้ลดลง และยังอวดดีที่พูดถึงการปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ต่อไป โดยอ้างว่าตนยังอธิบายให้สังคมเข้าใจได้ไม่ดีพอ ทั้งๆ ที่คนไทยส่วนใหญ่ต่างเข้าใจและรู้เรื่องนี้ลึกซึ้งเป็นอย่างดี คงมีแต่พวกเขาเท่านั้นที่มิได้รู้สำนึก
 

จงดื้อเดินหน้าต่อไปเถิดนายทอนกับพวก ถ้าถึงขนาดเดินไปหาเสียงที่ไหนก็เจอการต้อนรับด้วย “เพลงหนักแผ่นดิน” และผลการเลือกตั้งไม่ได้แม้แต่คนเดียว ยังดื้อรั้นไร้สำนึก โดยไม่เคยคิดที่จะทบทวนความผิดพลาดของตน ไม่ถ่อมตนศึกษาเรียนรู้ความเป็นจริงของสังคมไทย พวกคุณคงได้เห็นประชาชนให้บทเรียนสั่งสอนพวกคุณทางการเมือง อย่างหนักหน่วงและสาสมยิ่งกว่าเดิมอย่างแน่นอน ในทุกสนามการเมือง ถ้ายังดื้อรั้น และไม่คิดเก็บรับบทเรียน