JAS มี... หรือหมดอนาคต

25 พ.ย. 2563 | 01:20 น.

JAS มี... หรือหมดอนาคต : คอลัมน์เมาธ์ทุกอำเภอ ฐานเศรษฐกิจ ฉบับ 3630 หน้า 13 ระหว่างวันที่ 26-28 พ.ย. 2563 By…เจ๊เมาธ์

 

          >> ในที่สุดประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ก็ยอมรับความพ่ายแพ้ในการเลือกตั้งประธานาธิบดี ด้วยการยินยอมให้เกิดการถ่ายโอนอำนาจ ภายหลังจากทีมบริหารรัฐบาลกลาง (General Service Administration : GSA) ได้ยืนยันว่า โจ ไบเดน เป็นผู้ชนะในการเลือกตั้งอย่างเป็นทางการ ซึ่งจากนี้ไปทาง โจ ไบเดน และทีมงานจะสามารถเข้าหารือร่วมกับเจ้าหน้าที่ของหน่วยงานต่างๆ รวมไปถึงการเข้าถึงเอกสารสำคัญของทางรัฐบาล ขณะที่ประธานาธิบดีทรัมป์เองก็ได้ยอมรับด้วยการขอให้เจ้าหน้าที่ทุกคนให้ความร่วมมือ ขณะเดียวกันการรับมือกับการระบาดของเชื้อไวรัส Covid-19 ก็จะมีความคล่องตัวและจัดการได้รวดเร็วยิ่งขึ้น โดยทางสหรัฐคาดว่าจะสามารถเริ่มฉีดวัคซีนได้ภายใน 3 สัปดาห์ข้างหน้านี้ โดยตั้งเป้าว่าจะฉีดวัคซีนให้ได้ 70% ภายในเดือนพฤษภาคม ปี 2021 

          ล่าสุดเงินทุนต่างชาติที่ไหลเข้าสู่ตลาดหุ้นไทยอย่างต่อเนื่องจากการมองข้ามเรื่องของการระบาดของเชื้อไวรัส Covid-19 และการมองเห็นจังหวะการสร้างผลตอบแทนจากดัชนีที่อยู่ตํ่าแค่ 1200 จุด ด้วยการซื้อสุทธิในช่วงเวลา 2 สัปดาห์ที่ผ่านมาสูงถึงกว่า 4 หมื่นล้านบาท จนสามารถดันดัชนีหุ้นไทยขึ้นมายืนที่ 1400 จุด แต่จุดสูงสุดของการขายของต่างชาติในปีนี้ที่มีอยู่สูงถึง 3 แสนล้าน ทำให้เหลือส่วนต่างของการขายอยู่ถึง 2.6 แสนล้านบาท ดังนั้น เจ๊เมาธ์จึงมองว่าก็มีโอกาสที่ดัชนีหุ้นไทยจะสามารถไปต่อได้อีก เพราะทุนต่างชาติที่กลับมานี้หละเจ้าค่ะ

          >> นาทีนี้ถ้าจะไม่พูดถึงการปันผล 0.20 บาท/หุ้น ของ JAS ก็ดูเหมือนว่ากินข้าวผัดแล้วไม่มีพริกนํ้าปลาอะไรแบบนั้นเชียวนะคะ เพราะถึงแม้ JAS จะเอากำไรสะสมเฉพาะกิจที่มีอยู่ราว 2,786 ล้านบาทมาปันผล...ซึ่งหลังการจ่ายเงินปันผลจะทำให้กำไรสะสมลดลงจาก 2,786 ล้านบาท เหลือเพียง 875 ล้านบาท กำไรสะสมที่ว่านี้เป็นกำไรจากการขายระบบโครงข่ายไฟเบอร์ ออปติกให้กับ JASIF ซึ่ง JAS ก็เคยแจกปันผลไปแล้วก่อนหน้านั้นเองค่ะ

          อย่างไรก็ตาม โครงข่ายไฟเบอร์ ออปติกนี้ยังเป็นสิ่งจำเป็นในการดำเนินธุรกิจของบริษัท ดังนั้น JAS จึงต้องเปลี่ยนสถานะตัวเองจากเจ้าของ มาเป็นผู้เช่าที่ต้องจ่ายค่าเช่าให้กับ JASIF ซึ่งเป็นเจ้าของรายใหม่ 

          จะเห็นได้ว่าผลการดำเนินงานพบว่าไตรมาสที่ 3/63 ขาดทุน 794 ล้านบาท ส่งผลให้ช่วง 9 เดือนแรกของปี 63 ขาดทุนรวม 2,198 ล้านบาท ซึ่งสาเหตุหลักของการขาดทุนก็มาจากการจ่ายค่าเช่าโครงข่ายไฟเบอร์ ออปติก ที่ว่านี้นั้นเอง 

          อย่างไรก็ตาม การแจกปันผลรอบนี้ ก็ไม่ใช้เรื่องที่น่าแปลกใจ เพราะเมื่อมองไปที่โครงสร้างผู้ถือหุ้นก็จะเห็นได้ว่า พิชญ์ โพธารามิก เป็นผู้ที่จะได้รับประโยชน์มากที่สุด เพราะมีหุ้นอยู่ถึง 54.99% แล้วก็ไม่จำเป็นที่จะต้องแปลกใจเมื่อไปดูโครงสร้างผู้ถือหุ้นของ JASIF ก็จะได้เห็นว่า JAS ถือหุ้นใน JASIF อยู่จำนวน 19% 

          ดังนั้นการซื้อขายระบบโครงข่ายไฟเบอร์ ออปติก ของ JAS และ JASIF จึงไม่ต่างจากการใช้ “อัฐยาย...ซื้อขนมยาย” แต่อย่างใด จะแตกต่างออกไปก็คือในอนาคตภายหลังจากการที่ JAS จ่ายเงินปันผลไปจนหมดกำไรสะสมพิเศษนี้ไปแล้ว จากนี้ไป ในขณะที่บริษัทยังขาดทุนอยู่ JAS จะเดินหน้าต่อไปอย่างไร ราคาหุ้นจะเหลือเท่าไหร่ และ JAS จะเป็นหุ้นที่น่าลงทุนต่อไปอีกหรือไม่ นี่ต่างหากที่เป็นเรื่องสำคัญ

          >> ก่อนที่จะแจ้งตลาดว่าบริษัทได้ยุติการจัดซื้อนํ้ามันดิบจากประเทศเวเนซูเอลา ภายในช่วงระยะเวลา wind down ตามข้อร้องขอจาก US State Department เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ราคาหุ้นของ TASCO ถูกดันขึ้นไปจากราคาเฉลี่ย 14-15 บาทขึ้นไปสูงถึง 19.90 บาท ซึ่งเป็นราคาสูงสุดในรอบหลายเดือนได้อย่างน่าแปลกใจ และก็น่าแปลกใจเป็นอย่างยิ่งเมื่อมีข่าวว่าก่อนหน้านี้ทาง US State Department ได้ร้องขอให้ TASCO หยุดการทำธุรกิจกับเวเนซูเอลามาแล้วหลายเดือนก่อนที่ TASCO จะแจ้งข่าวนี้ผ่านทางตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งมันก็เป็นช่วงเวลาที่ราคาหุ้นของ TASCO ถูกดันราคาขึ้นมาจากราคาเฉลี่ย 15-16 บาทขึ้นไปถึงจุดสูงสุดที่ 29 บาทได้เช่นกัน 

          เจ๊เมาธ์ไม่อยากจะบอกว่ามันมีเกมอะไรซ่อนอยู่หรือไม่...เพียงแต่เจ๊แปลกใจก็เลยพูดถึงก็เท่านั้นเองค่ะ

           >> ราคาหุ้นกลุ่มตระกูล ป. อย่าง PTT PTTEP PTTGC TOP และ IRPC ต่างก็ขยับ เพราะนอกจากข่าวการที่กลุ่มโอเปคพลัสจะตกลงกันลดกำลังการผลิตนํ้ามันดิบต่อไป การมาของวัคซีนป้องกันเชื้อไวรัส Covid-19 ก็ส่งผลให้ความต้องการใช้นํ้ามันเชื้อเพลิงมีแนวโน้นที่จะสูงตามไปด้วย ล่าสุดมีการประเมินว่าราคานํ้ามันดิบ WTI ในช่วงปี 2021 จะเคลื่อนที่อยู่ราว 44-49 เหรียญสหรัฐ/บาเรล หลังจากที่ปีนี้ ราคานํ้ามันดิบเคลื่อนที่อยู่ราว 40-44 เหรียญสหรัฐ/บาเรล ซึ่งจะส่งผลโดยตรงต่อค่าการกลั่น (Gross Refining Margin: GRM) ที่อาจเพิ่มขึ้น ส่งผลให้บริษัทลูกอย่าง PTT PTTEP PTTGC TOP และ IRPC สามารถส่งรายได้ให้กับบริษัทได้จนมีผลการดำเนินงานที่น่าพอใจมากกว่าเดิม นี่ยังไม่นับเอา OR ซึ่งจะมีรายได้ที่สูงมากขึ้นเช่นกัน ถึงแม้ว่าจะยังไม่มีความชัดเจนว่า OR จะเข้าตลาดฯ เมื่อใด

          >> ไปที่หุ้น LEO ที่ไม่ใช่เบียร์ “ลีโอ” ของเสี่ยตุ๋ย “เกตติวิทย์ สิทธิสุนทรวงศ์” กันอีกสักครั้ง การที่ตู้คอนเทนเนอร์ขาดตลาดจนทำให้บรรดาผู้ประกอบการขนส่งทั้งหลายต้องจองตู้ล่วงหน้านานเป็นเดือนๆ รวมไปถึงค่าระวางเรือที่เพิ่มสูงขึ้น ในขณะเดียวกันการที่วัคซีนป้องกันเชื้อไวรัส Covid-19 ที่เริ่มมีข่าวออกมาตลอด ทำให้ความต้องการตู้คอนเทนเนอร์ขยับสูงขึ้นเป็นเงาตามตัว...เรื่องนี้เป็นผลดีโดยตรงกับ LEO ในเรื่องของข้อต่อรองการเจรจาเพื่อให้ได้มาร์จิ้นที่ดีที่สุด ขณะเดียวกัน LEO ก็ยังอุบข่าวเรื่องการร่วมมือกับบริษัทขนส่งสินค้าข้ามชาติเอาไว้ ล่าสุดนักวิเคราะห์จาก บล. บัวหลวงให้เป้าเอาไว้ 6.60 บาท และได้ข่าวว่าเร็วๆ นี้อาจมีนักวิเคราะจากสำนักอื่นที่ให้เป้าสูงกว่านี้ตามออกมา จับตาดูดีๆ นะคะ หุ้นตัวนี้มีดีกว่าที่คิดค่ะ