ทุกข์ของเศรษฐีน้ำมัน

30 ต.ค. 2563 | 03:40 น.

ซาอุดิอาระเบีย 1 ใน 3 มหาอำนาจด้านน้ำมันของโลก กำลังเผชิญกับแรงกดดันทั้งทางด้านการผลิตและรายได้จากน้ำมันที่ลดลง และส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจประเทศ

อย่างที่ทราบกันซาอุดีอาระเบียเป็น 1 ใน 3 ของมหาอำนาจด้านน้ำมัน (สหรัฐอเมริกา รัสเซีย และซาอุดีอาระเบีย) ที่ผลิตน้ำมันดิบเกิน 10 ล้านบาร์เรลต่อวัน และยังเป็นผู้ส่งออกน้ำมันมากที่สุดในกลุ่มโอเปก ตามตัวเลขของทางการ ซาอุดีอาระเบียมีน้ำมันดิบสำรองมากถึง 260 พันล้านบาร์เรล หรือเท่ากับ 25% ของปริมาณน้ำมันดิบสำรองทั่วโลก มากเป็นอันดับสองของโลกรองจากเวเนซูเอล่า

 

รายได้จากน้ำมันของซาอุดีอาระเบียสูงถึง 90% ของรายได้จากการส่งออกทั้งหมดของประเทศ คิดเป็น 42% ของ GDP และ 87% ของงบประมาณแผ่นดินของประเทศ ดังนั้นราคาน้ำมันจึงมีความสำคัญต่อเศรษฐกิจและการคลังของซาอุดีอาระเบียเป็นอย่างมาก

 

วิกฤติราคาน้ำมันและวิกฤติโควิด-19 ที่เกิดขึ้นตั้งแต่เดือนมีนาคมปีนี้เป็นต้นมา ได้กดดันราคาน้ำมันให้ลดลงจาก 65 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อบาร์เรล มาอยู่ที่ 40 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อบาร์เรลในปัจจุบัน และยังส่งผลให้ความต้องการน้ำมันในไตรมาส 2 ลดลงถึง 25% จากปีที่แล้ว และคาดว่าทั้งปีจะลดลง 10% ทำให้ซาอุดีอาระเบียสูญเสียรายได้จากน้ำมันเป็นเงินมหาศาล แถมยังต้องลดการผลิตและส่งออกน้อยลงเพื่อรักษาระดับราคาน้ำมัน โดยการส่งออกน้ำมันดิบในไตรมาสสองปีนี้ลดลงสู่ระดับต่ำที่สุดนับจากปี ค.ศ. 2016 เป็นต้นมา จนทำให้ประเทศต้องขาดดุลงบประมาณสูงถึง 12% ของ GDP ในปีนี้ และคาดว่าปีหน้าจะขาดดุลอีก 5.1%

 

กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) คาดว่า ราคาน้ำมันที่จะทำให้งบประมาณของซาอุดีอาระเบียเข้าสู่สมดุลทั้งในปีนี้และปีหน้าจะต้องอยู่ที่ 76 และ 66 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อบาร์เรล ตามลำดับ

 

แต่บทวิเคราะห์ของ Goldman Sachs คาดว่า รัฐมนตรีคลังของซาอุดีอาระเบียน่าจะตั้งงบประมาณโดยอ้างอิงราคาน้ำมันที่ 50 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อบาร์เรล จากนี้ไปจนถึงอีก 3 ปีข้างหน้า (2020-2023) ซึ่งก็ยังต่ำกว่าราคาน้ำมันที่จะทำให้การตั้งงบประมาณแผ่นดินของประเทศเข้าสู่สมดุลตามที่ IMF คาดการณ์เอาไว้

 

สรุปก็คือ ขณะนี้ซาอุฯและประเทศผู้ผลิตน้ำมันที่มีรายได้หลักจากการส่งออกน้ำมัน กำลังเผชิญกับแรงกดดันทั้งทางด้านการผลิตและรายได้ คือ ถ้าจะผลิตน้ำมันมากขึ้นเพื่อเพิ่มรายได้ ราคาก็จะลดลง แต่ถ้าจะลดการผลิตเพื่อดึงราคาให้สูงขึ้น ก็ไม่แน่ว่าราคาจะสูงขึ้นจนชดเชยรายได้ที่ขาดหายไปจากการลดการผลิตหรือไม่

นอกจากนี้ ยังมีแรงกดดันทางด้านเศรษฐกิจโลกและความต้องการน้ำมัน ที่บริษัทน้ำมันรายใหญ่อย่างบริษัท BP และ Total ออกมาทำนายว่า ยุคของการเติบโตของความต้องการน้ำมันโลกได้ผ่านพ้นหรือจะสิ้นสุดลงอย่างแน่นอนในอีก 10 ปีข้างหน้า

 

การทำนายนี้ยิ่งทำ ให้ประเทศที่มีน้ำมันสำรองสูงๆ อย่างซาอุดีอาระเบียต้องละล้าละลังว่าจะดำเนินนโยบายการผลิตอย่างไรดี เพราะผลิตมากเกินไปราคาก็ตกต่ำ ถ้าผลิตน้อยแม้ว่าราคาจะสูงขึ้นบ้าง แต่ก็จะทำให้ผู้บริโภคใช้น้อยลง หรือมีพลังงานอื่นมาทดแทน ทำให้น้ำมันสำรอง ที่ตนมีอยู่เป็นจำนวนมากก็จะด้อยค่าลงไปเรื่อยๆ หรือหมดคุณค่าไปในที่สุดถ้าโลกหันไปใช้พลังงานอื่นเพื่อทดแทนน้ำมัน อย่างเช่น การผลิตไฟฟ้าบนหลังคาจากพลังงานแสงอาทิตย์ (Solar Roof) หรือยานยนต์ไฟฟ้า (Electric Vehicle - EV) เป็นต้น

เรื่องนี้พิสูจน์ว่าเป็นเศรษฐีน้ำมันก็ไม่ได้มีความสุขเสมอไปหรอกครับ !!!

 

จากคอลัมน์ Energr@Than หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 3,622 หน้า 9 วันที่ 29-31 ตุลาคม 2563