กายไหวใจสงบ คือเรื่องราวของการปฏิบัติธรรม ในรูปแบบที่ไร้รูปแบบ ซึ่งผู้ที่ริเริ่มในการคิด แนวทางการปฏิบัติเจริญสติ เจริญสัมปชัญญะ โดยอาศัยการเคลื่อนไหวแขน อย่างมีสติ คือ หลวงพ่อเทียน จิตตฺสุโภ วัดสนามใน นนทบุรี
หลวงพ่อเทียนเคยบีบแขนผมเบาๆ แล้วชวนมาอยู่วัดและสอนผมยกมือเจริญสติให้ผมด้วย ผมกราบเรียนหลวงพ่อไปว่า
"ผมอยู่วัดหลวงใหญ่กว่านี้"
ตอนนั้นผมเป็นแค่สามเณรน้อยๆ ไปวัดสนามในเพราะคุณแม่พาไป
หลวงพ่อเทียน เดิมเป็นคนจังหวัดเลย มีความชื่นชอบในด้านการปฏิบัติธรรม นั่งสมาธิ ครั้งละนานๆ ติดต่อกันมาหลายปี แต่แล้ว คราวหนึ่งในช่วงชีวิตที่ยังเป็นฆราวาส หลังจากที่ท่านฝึกสมาธิเรียบร้อย ก็ดูเหมือนจิตสงบดี แต่เมื่อภรรยาของท่านเข้ามาพูดถึง เงินที่จะต้องจ่ายค่าหมอลำในงาน บุญของวัดแห่งหนึ่ง ท่านก็เกิดโมโหขึ้น เนื่องจากท่านได้สั่งไว้เรียบร้อยแล้ว ทำไมจึงจำไม่ได้ หลังจากนั้นท่านจึงคิดได้ว่า เราปฏิบัติมานาน ทำไมเรายังโกรธอยู่ ความโกรธในครั้งนี้ จึงทำให้ท่านมาพิจารณา ว่าสิ่งที่ท่านปฏิบัติมา ไร้ผล ท่านจึงคิดค้นหาวิธีใหม่ นั่งพลิกมือไปเคลื่อนมือมา ท่านทำอย่างต่อเนื่องจนกระทั่งท่านสว่างไสว เหมือนน้ำหนักตัวหายไปครึ่งต่อครึ่ง เบากาย เบาใจและมีสติรู้ แจ่มแจ้ง
ในที่สุดท่านก็ได้พบ ปัญญาญาณ และการตื่นรู้ เท่าทันกิเลส และจัดการกับสิ่งนั้น จนหมดไปในที่สุด
หลวงพ่อเทียน นามเดิมของท่าน พันธ์ อินทผิว คนจังหวัดเลย เนื่องด้วยบุตรชายคนโตของท่านชื่อเทียน ก็เรียกกันว่า พ่อเทียนๆ จากนั้นจึงกลายเป็นหลวงพ่อเทียนสืบมาเมื่อท่านตัดสินใจออกบวชเมื่อค้นพบการปฏิบัติได้ชัดเจน คลายความปรุงแต่งได้เห็นกายชัด ได้เห็นความคิดชัด ได้เห็นอารมณ์ชัด ไร้กิเลสใดๆจนหมดสิ้น
หลวงพ่อเทียนท่านอ่านหนังสือไทยไม่ออก เขียนไม่ได้ ท่านใช้วิธีการปฏิบัติอย่างเดียว ท่านมาอยู่นนทบุรี ที่วัดชลประทานฯ ที่นี่ทำให้ได้พบกับเขมานันทะ จากนั้นจึงย้ายไป วัดสนามใน หลวงพ่อเทียนทำวัดสนามในเป็นวัดปฏิบัติการเจริญสติ แบบอยู่ง่ายกินง่ายๆไม่เน้นพิธีกรรมมากเกินจากความจำเป็น โดยเฉพาะพิธีกรรมเดรัญฉานวิชาทั้งหลาย
คราวหนึ่งท่านไปสิงคโปร์พระอาจารย์ในสายเซ็นญี่ปุ่นรูปหนึ่งเห็นท่านจึงได้สนทนาแล้วท่านหันไปบอกกับลูกศิษย์สายเซ็นว่า
"หลวงพ่อเทียนรูปนี้บรรลุแล้วซึ่งจิตเดิมแท้"
พระอาจารย์สายเซ็นจึงมอบจีวรแบบเซ็นให้ท่านครองหนึ่งผืน
หลวงพ่อเทียน ท่านมาหัดอ่านหนังสือไทยเขียนไทยในคราวหลัง ครั้งหนึ่งทางการกล่าวหาว่าท่านเป็นคอมมิวนิสต์มาบวช นี่ดูความเลวร้ายวิธีคิดของนักปกครองไทยยึดและยัดข้อกล่าวหาเอาง่ายๆถึงกับขนาดให้ตำรวจมาบวชเป็นพระแล้วมาดูพฤติกรรมท่าน สุดท้ายท่านไม่ได้มีพฤติกรรมใดๆที่ส่อไปในทางการเป็นคอมมิวนิสต์เลยตำรวจคนนั้นจึงลาสิกขาบทแล้วเล่าความจริงให่ฟังพร้อมขอขมาหลวงพ่อ แต่ผมเชื่อว่าเจ้านายของนายตำรวจคนนั้นจิตใจต่ำกับพระก็ยังคิดอกุศลตายแล้วคงมีนรกเป็นที่พึ่ง เป็นตำรวจทหารนี่ต้องระวังนะตกนรกง่ายฆ่าคนตายก็ตกนรกเพราะคุณไม่มีสิทธิไปตัดกรรมใครเขาทำชั่วก็แค่จับเขาขังแต่ไม่มีสิทธิทำลายชีวิตผู้อื่น หลวงพ่อเทียนมีลูกศิษย์ล้วนเป็นปัญญาชนทั้งสิ้น ประเภทหลงๆกับไสยศาสตร์ไม่มีมาเป็นลูกศิษย์ท่านเลย
หลวงพ่อเทียนทิ้งร่างละสังขารที่กระท่อมหลังคามุงแฝกที่จังหวัดเลย
ปัจจุบันหลวงพ่อทอง เป็นเจ้าอาวาสดูแลปกครองวัดสนามในเป็นเจ้าอาวาสรูปที่2ต่อไป ใครชอบการปฏิบัติภาวนา แบบเจริญสติสายตรงต้องไปที่นี่ที่เดียวแล้วจะเข้าใจกับคำว่าจิตเดิมแท้แห่งการบรรลุธรรม