>> สถานการณ์โรค Covid-19 ทั่วโลกยังทวีความรุนแรง มีปริมาณผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นทุกวัน...ล่าสุดจำนวนผู้ติดเชื้อทั่วโลกขยับขึ้นมาเป็น 4 แสนคนต่อวัน ตัวเลขผู้เสียชีวิต ขยับเข้าใกล้ 5,000 รายต่อวัน
ล่าสุด “จอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน” ประกาศระงับการทดลองทางคลินิกวัคซีน Covid-19 ของบริษัท 13 ต.ค.ที่ผ่านมา หลังจากอาสาสมัครผู้เข้าร่วมทดลองรายหนึ่ง มีอาการป่วยที่ไม่สามารถอธิบายได้ ขณะที่มีมุมมองว่า ความล้มเหลวในการทดลองวัคซีนบางส่วน อาจมาจาก ผู้นำสหรัฐ “โดนัลด์ ทรัมป์” เข้าไปกดดันองค์การอาหารและยาสหรัฐฯ และบริษัทผู้ผลิตยาหลายราย ให้เร่งกระบวนการทดลองเพื่อที่จะได้มีวัคซีนออกมาใช้งานให้ได้ก่อนการเลือกตั้งวันที่ 3 พฤศจิกายน
>> รับมือกันให้ดี กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ได้ปรับประมาณการจีดีพีโลกปี 2563 หดตัว 4.4% จากเดิมคาดไว้ -4.9% ส่วนปี 2564 คาดการณ์ว่า จีดีพีโลก จะฟื้นตัวได้ช้าขึ้น นั่นก็หมายความว่า แม้จะ “เจ็บน้อยลงในวันนี้...แต่ก็จะเจ็บนานขึ้นในอนาคต” ขณะที่ระบบเศรษฐกิจของประเทศไทยเอง ถูกคาดการณ์ว่าฟื้นตัวช้าที่สุดในอาเซียน ดังนั้นความอึมครึมที่มี จะอยู่ไปอีกนาน เพราะฉะนั้น นักลงทุนต้องเตรียมตัวให้มาก เพื่อรองรับสิ่งที่จะเกิดขึ้นคู่กับระบบเศรษฐกิจไทยอีกนานเช่นกัน
>> ราคาหุ้นกลุ่มผู้ค้ายางพาราทั้ง NER และ STA แรงขึ้น มาจากสาเหตุยางพาราเป็นที่ต้องการของตลาดอย่างมาก ล่าสุดราคายางดิบอยู่ที่ 56-57 บาท ปลายปีนี้ คาดว่ายางดิบ จะขึ้นไปถึง 60 บาท
ในส่วนของ NER พึ่งจะผ่านการลงนามกับลูกค้าใหญ่รายใหม่ 2 ราย จากประเทศจีน ซึ่งเป็นลูกค้าสัญญาระยะยาว (Long Term Contact) ได้แก่ Triangle Tire มีคำสั่งซื้อกับบริษัทประมาณ 24,000 ตัน/ปี และ LLIT ซึ่งมีคำสั่งซื้อกับบริษัทฯประมาณ 48,000 ตัน/ปี
ส่วน STA ก็มีบริษัทลูกผู้ผลิตถุงมือยางที่เป็นลูกกตัญญูอย่าง STGT บริษัทได้รับอานิสงส์จากการระบาดของเชื้อ Covid-19 จนทำให้ STGT เพิ่มกำลังการผลิตถุงมือยางจนเต็มกำลังการผลิตเป็นไปจนถึงปี 2565
ล่าสุด บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง แนะนำ “ซื้อ” NER ที่ราคาเป้าหมาย 5.00 บาท ขณะที่ บล.ฟินันเซีย แนะนำ “ซื้อ” STA ให้เป้า 34 บาท ส่วนใครจะชอบตัวไหนก็เลือกกันไปนะคะ เจ๊เมาธ์เอาข้อมูลมาให้แล้วค่ะ
>>ก่อนหน้านี้หุ้นอิเล็กทรอนิกส์ มี DELTA เป็นตัวชูโรงโดดเด่น แต่หลังจากราคาวิ่งทะลุแนวต้าน 200 บาท ขึ้นไปทดสอบ 205 บาท ราคาหุ้น DELTA ก็ลงกลับมาอยู่ 195 บาท แม้จะพยายามทดสอบ 200 บาท เป็นระยะ แต่ก็ผ่านไม่ได้ ขณะที่หุ้นในกลุ่ม ไม่ว่าจะ HANA KCE และ SMT กลายเป็นหุ้นตัวใหม่ที่ถูกดันราคาขึ้นมา
โดยเฉพาะ HANA มี P/E ตํ่าเพียงแค่ 22 เท่า มีโอกาสไปต่อได้ เพราะคาดการณ์ว่า ผลกำไรในไตรมาสที่ 3/63 จะออกมาค่อนข้างสดใส ...สำหรับเจ๊เมาธ์...เจ๊ยังมองว่า หุ้นกลุ่มนี้แรงกว่าพื้นฐานมากเกินไป ถ้าใครจะเข้านาทีนี้ก็คงต้องทำใจว่าหุ้นกลุ่มนี้กลายเป็นหุ้นเก็งกำไร...โอกาสขึ้น มีน้อยกว่าโอกาสลงค่ะ ถ้าจะเข้าต้องทำใจเอาไว้นะคะ
>> PTTGC ขยับราคาขึ้นมาอย่างน่าสนใจ หลังจากพักตัวแถว 40 บาท มานาน สาเหตุส่วนหนึ่ง ก็มาจากผลดำเนินงานที่ตกตํ่าขาดทุน ช่วงครึ่งปีแรก PTTGC ขาดทุนถึง 7 พันกว่าล้าน รายได้ครึ่งปีแรก 1.67 แสนล้านบาท แต่ถ้าดูแล้วเทียบกับพื้นฐาน หุ้นตัวนี้มีโอกาสไปต่อได้อีกค่ะ .... บล.หยวนต้า มองระยะสั้น กำไรของ PTTGC ในไตรมาสที่ 3/63 จะขยับขึ้นมา 809 ล้านบาท ให้ราคาเป้าหมายไว้ที่ 56 บาท/หุ้น โดยมีเหตุผลว่า เป็นหุ้นที่ยังมีโอกาสทำกำไรในช่วง Covid-19 จากการฟื้นตัวของราคาน้ำมัน ฐานะการเงินมั่นคงด้วย D/E ที่ตํ่า...ไม่มีภาระลงทุนใหญ่ในระยะสั้น ทำให้กระแสเงินสดคล่องตัวสามารถจ่ายเงินปันผลได้ ดังนั้นเจ๊เมาธ์จึงมองว่า PTTGC สามารถรับและสะสมได้นะคะ โอกาสที่จะฟื้นตัว มีมากกว่า ราคานิ่ง ๆ ค่ะ
>> มาที่หุ้นธนาคารกันบ้าง... ธนาคารที่โดนหนักที่สุดก็จะเป็น KBANK ที่ล่าสุด หุ้นกู้ด้อยสิทธิ์ที่มีลักษณะคล้ายทุน (Perpetual Bond) หรือที่เรียกว่าหุ้นกู้ “ชั่วนิรันดร์” มูลค่า 500 ล้านดอลลาร์ เพื่อรับมือแนวโน้มของหนี้เสีย (NPL) ที่คาดว่าจะเพิ่มมากขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง
การออกหุ้นกู้นี้ ทำให้นักลงทุนสูญเสียความเชื่อมันในหุ้นของ KBANK ไปพอสมควร ...สอดคล้องกับข้อมูลทางเทคนิคที่ชี้ให้เห็นว่า ราคาหุ้นของ KBANK ถูกขายออกมาจนราคาหุ้นตํ่าที่สุดในรอบหลายปี โดย RSI หลุดลงไปอยู่ในแนว Oversold ขณะที่ MACD ยังจมอยู่ และราคาหุ้นก็หลุด EMA ไปทั้งหมด ทั้ง 15, 45 และ 100
ดังนั้นเจ๊เมาธ์จึงมองว่า ถ้าใครสนใจจะเข้า KBANK ในนาทีนี้ ก็ต้องใช้วิธีแบ่งไม้เล่น หรือจะทำ DCA ก็ได้นะคะ แต่ถ้าจะเข้าแบบตูมเดียว...เจ๊ไม่แนะนำค่ะ