ชีวิตที่ไม่เหมือนเดิม

01 ต.ค. 2563 | 05:00 น.

ชีวิตที่ไม่เหมือนเดิม : คอลัมน์ทางออกนอกตำรา ฐานเศรษฐกิจ ฉบับ 3614 หน้า 6 ระหว่างวันที่ 1-3 ต.ค.2563 โดย... บากบั่น บุญเลิศ

 

ผมไปอ่านข้อวิเคราะห์การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมผู้บริโภคคนไทยหลังผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ โดยใช้ข้อมูล Google Trends ซึ่งเป็นข้อมูลแนวโน้มการค้นหาคำต่าง ๆ ผ่าน Google Search ของธนาคารไทยพาณิชย์ แล้วเห็นว่า น่าจะทำให้ผู้อ่านทุกท่านมีปัญญามีแง่มุมในการคิด ในการมองเพื่อหาช่องทางการทำธุรกิจได้ดี ลองพิจารณาครับ
 

การวิเคราะห์ข้อมูลของไทยพาณิชย์ เขาพบว่า พฤติกรรมยอดฮิตของผู้บริโภคหลายประเภทในช่วงล็อกดาวน์ยังคงได้รับความนิยมสูงกว่าค่าเฉลี่ยในอดีต โดยเฉพาะพฤติกรรมการใช้แพลตฟอร์มออนไลน์ต่างๆ ที่มีแนวโน้มเป็นพฤติกรรม New normal ของคนไทย เช่น food delivery, e-commerce และการประชุมออนไลน์
 

ประเด็นแรก เขาพบว่าคนไทยกลับมาสนใจกิจกรรมนอกบ้านเพิ่มขึ้นหลังคลายช่วงล็อกดาวน์ : แม้ว่าในช่วงที่รัฐบาลออกมาตรการล็อกดาวน์ในเดือนเมษายน คนไทยจะสนใจกิจกรรมนอกบ้านลดลงอย่างมีนัยสำคัญ แต่หลังจากรัฐบาลผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ ความสนใจกิจกรรมนอกบ้านก็เริ่มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

การค้นหาคำว่า “โรงแรม” และ “อาหารบุฟเฟต์” ที่ในเดือนกรกฎาคม-กันยายน 2563 มีจำนวนการค้นหาสูงกว่าช่วงล็อกดาวน์ (เดือนเมษายน-พฤษภาคม) ถึง 470% และ 232%
 

และความสนใจต่อทั้ง 2 กิจกรรมยังอยู่ในระดับที่สูงกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อนอีกด้วย
 

ส่วนหนึ่งอาจเกิดจากความต้องการที่สะสมมาจากช่วงล็อกดาวน์ (pent-up demand) การมีช่วงวันหยุดยาวพิเศษ และมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวของภาครัฐ
 

อย่างไรก็ดี ความสนใจที่เพิ่มขึ้นผ่าน Google Search ไม่ได้หมายถึงการใช้จ่ายที่กลับมาในระดับเดียวกัน สะท้อนจากทั้งการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคและปริมาณการท่องเที่ยวในประเทศ ที่ยังต่ำกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน
 

ขณะที่กิจกรรมนอกบ้าน อาทิ การไปโรงภาพยนตร์ยังไม่ได้รับความสนใจเท่าช่วงปกติ สะท้อนจากจำนวนการค้นหาชื่อเครือโรงภาพยนตร์ในช่วงเดือนกรกฎาคม-กันยายน 2563 ที่ยังต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในช่วงเดียวกันระหว่างปี 2560-2562 ถึง 44%
 

ประเด็นที่สอง กิจกรรมภายในบ้านในช่วงกักตัวยังคงได้รับความนิยมสูงกว่าในอดีต แม้ความนิยมจะเริ่มลดลงบ้างเมื่อเทียบกับช่วงที่ยังมีการล็อกดาวน์
 

กล่าวคือในช่วงกักตัวอยู่บ้าน ผู้คนเริ่มหากิจกรรมในบ้านชดเชยการออกนอกบ้าน จึงเกิดกระแสกิจกรรมภายในบ้านหลากหลายประเภท เช่น 1) การทำอาหารที่บ้าน สะท้อนจากคำค้นหาที่เกี่ยวข้องกับอุปกรณ์เครื่องครัว อาทิ “หม้อทอดไร้น้ำมัน” และ “เตาอบ” ได้รับความนิยมสูงสุดในเดือนพฤษภาคม โดยคำค้นหาอุปกรณ์เครื่องครัวสูงสุดถึง 474% เทียบกับค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 3 ปีในช่วงเวลาเดียวกัน
 

2) การปลูกผักและต้นไม้ จากยอดค้นหาคำที่เกี่ยวข้องกับการปลูกผักและต้นไม้สูงสุดในเดือนมิถุนายนสูงถึง 49% เทียบกับค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 3 ปีในช่วงเวลาเดียวกัน
 

3) การออกกำลังกายในบ้าน จากคำค้นหาวิดีโอที่เกี่ยวข้องกับการออกกำลังกายใน Youtube เพิ่มขึ้นสูงสุดในเดือนพฤษภาคม ถึง 122% เทียบกับค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 3 ปีในช่วงเวลาเดียวกัน
 

4) การทำงานที่บ้าน สะท้อนจากความสนใจอุปกรณ์สำหรับการทำงานที่บ้าน เช่น โต๊ะทำงาน เก้าอี้ คีย์บอร์ดและเมาส์ เป็นต้น ซึ่งสูงสุดในเดือนมิถุนายนถึง 30% เทียบกับค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 3 ปีในช่วงเวลาเดียวกัน
 

กิจกรรมภายในบ้านที่กล่าวมาข้างต้นได้รับความสนใจลดลง หลังจากที่เริ่มสามารถออกไปทำกิจกรรมนอกบ้านได้ สะท้อนจากคำค้นหาตามคีย์เวิร์ดดังกล่าวที่มีแนวโน้มลดลงตั้งแต่เริ่มมีมาตรการผ่อนปรนมาตรการล็อกดาวน์ และอาจรวมไปถึงการที่คีย์เวิร์ดบางคำ เป็นเพียงการค้นหาที่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียว (one-time search) เช่น การค้นหา “โต๊ะทำงาน” ที่เมื่อซื้อมาแล้วทำให้ไม่จำเป็นต้องค้นหาอีก

และจากข้อมูลดัชนี Google Mobility หมวดที่พักอาศัยยังแสดงให้เห็นว่าคนยังคงอยู่ในบ้านมากกว่าช่วงก่อน COVID-19
 

อย่างไรก็ตาม การค้นหาคำเกี่ยวกับเทรนด์ต่าง ๆ ข้างต้นก็ยังอยู่ในระดับสูงกว่าค่าเฉลี่ย 3 ปีย้อนหลัง ซึ่งบ่งชี้พฤติกรรม New normal โดยอาจมาจากการที่หลายคนได้มีการเปลี่ยนรูปแบบการทำงานมาเป็นการทำงานที่บ้าน (work from home) ในสัดส่วนที่มากขึ้น ความนิยมสำหรับกิจกรรมในบ้านจึงมีมากกว่าในอดีตช่วงก่อน COVID-19
 

ประการต่อมา COVID-19 เร่งให้แพลตฟอร์มออนไลน์ได้รับความนิยมสูงกว่าแนวโน้มปกติ ในช่วงก่อนสถานการณ์ COVID-19 คนไทยมีแนวโน้มปรับตัวมาใช้แพลตฟอร์มดิจิทัลมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง สะท้อนจากแนวโน้มการค้นหาที่เกี่ยวข้องกับบริการออนไลน์ที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดย COVID-19 ได้ช่วยเร่งกระแสการปรับตัวเข้าสู่ดิจิทัลมากขึ้น สะท้อนจากปริมาณการค้นหาคำที่เกี่ยวข้องกับบริการออนไลน์ต่าง ๆ ที่เร่งตัวจากแนวโน้มปกติอย่างเห็นได้ชัด จากความจำเป็นในการเข้าถึงสินค้าและบริการในช่วงที่ช่องทางเดิมมีข้อจำกัดในการใช้บริการ เช่น การซื้อสินค้าผ่านแพลตฟอร์ม e-commerce ทดแทนการไปห้างสรรพสินค้า การใช้บริการ food delivery ทดแทนการรับประทานอาหารที่ร้าน
 

การประชุมทางไกลผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ทดแทนการประชุมแบบปกติ หรือการดูภาพยนตร์ผ่านแอปพลิเคชันดูหนังออนไลน์ต่าง ๆ แทนการออกไปโรงภาพยนตร์
 

อย่างไรก็ดี ปริมาณการค้นหาสำหรับแพลตฟอร์มออนไลน์ได้ลดลงจากช่วงล็อกดาวน์เช่นกัน ซึ่งเหตุผลน่าจะมาจากการค้นหาส่วนใหญ่เป็นแบบ one-time search กล่าวคือ หลังจากการค้นหาในครั้งแรกๆ แล้ว ผู้ใช้อาจใช้งานจากแพลตฟอร์มโดยตรงในครั้งถัดไป ซึ่งจากข้อมูลของแพลตฟอร์มออนไลน์พบว่า แม้ปริมาณการค้นหาบน Google จะลดน้อยลง แต่กิจกรรมที่เกิดขึ้นจริงบนแพลตฟอร์มยังมีการเติบโตที่ค่อนข้างสูง เช่น ในระหว่างเดือนมีนาคม-พฤษภาคม 2563 จำนวนผู้ใช้งานแพลตฟอร์ม Lazada ประเทศไทยเพิ่มขึ้นเกือบเท่าตัวเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า
 

ถามว่าหลังสถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 ภายในประเทศผ่อนคลาย กิจกรรมที่ได้รับความนิยมในช่วงการล็อกดาวน์อาจกลายเป็น New normal บางพฤติกรรมของทั้งผู้บริโภคและภาคธุรกิจอาจไม่ได้กลับไปเหมือนเดิมอีกต่อไป
 

หลายบริษัทในเมืองได้มีการปรับตัวด้านรูปแบบการทำงาน เป็นการทำงานทางไกล (remote work) มากขึ้น ทำให้มีการทำงานที่บ้านมากขึ้น ซึ่งได้ส่งผลต่อเนื่องไปถึงการใช้ชีวิตในหลายด้านของคนจำนวนไม่น้อย ทั้งการใช้เวลา การใช้พื้นที่ และรูปแบบการใช้จ่าย
 

พฤติกรรมการค้นหาบน Google ล่าสุดเป็นตัวสะท้อนได้ดีถึงแนวโน้มดังกล่าว โดยได้บ่งชี้ว่าพฤติกรรมหลายอย่างที่ฮิตในช่วงล็อกดาวน์ยังคงสูงกว่าในอดีตช่วงก่อน COVID-19
 

สำหรับพฤติกรรมการใช้แพลตฟอร์มออนไลน์ที่เร่งตัวสูงจากความจำเป็นในช่วง COVID-19 นั้น จะเป็นตัวเร่งการปรับตัวระยะยาวที่สำคัญของทั้งภาคธุรกิจและผู้บริโภค โดยเฉพาะหากบริการออนไลน์นั้นสามารถเข้ามาทดแทนรูปแบบการใช้จ่ายเดิม ๆ ด้วยต้นทุนที่ถูกกว่า ให้บริการที่ดีกว่าและเร็วกว่าได้ การขยายตัวของออนไลน์แพลตฟอร์มจึงมีแนวโน้มส่งผลกระทบถึงธุรกิจเดิมในอุตสาหกรรมเดียวกัน
 

เช่น การขยายตัวของ e-commerce ที่กระทบต่อยอดขายค้าปลีกช่องทางออฟไลน์, แพลตฟอร์มประชุมออนไลน์ที่อาจแย่งกลุ่มลูกค้ากับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เชิงพาณิชย์ (commercial real-estate) ไม่ว่าจะเป็นพื้นที่สำนักงาน co-working space หรือพื้นที่ให้เช่าสำหรับการจัดประชุม-สัมมนา, แพลตฟอร์มดูหนังออนไลน์ที่ดึงกำลังซื้อบางส่วนจากโรงภาพยนตร์หรือบริการ food delivery ที่เข้ามาทดแทนการทานอาหารที่ร้าน
 

แนวโน้มดังกล่าวนี้จึงมีนัยต่อการฟื้นตัวของภาคธุรกิจ โดยหากธุรกิจไม่ปรับตัวไปกับ New normal นอกจากจะต้องเผชิญกับผลกระทบของวิกฤติเศรษฐกิจแล้ว ยังอาจต้องเผชิญกับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมผู้บริโภคอีกด้วย