คนละครึ่งไม่พอ ขอมาตรการ กระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่ม

24 ก.ย. 2563 | 00:00 น.

คนละครึ่งไม่พอ ขอมาตรการ กระตุ้นศก.เพิ่ม : บทบรรณาธิการ ฐานเศรษฐกิจ ฉบับ 3612 หน้า 6 ระหว่างวันที่ 24-26 ก.ย.2563 

 

คนละครึ่งไม่พอ

ขอมาตรการ

กระตุ้นศก.เพิ่ม
 

     ที่ประชุมครม.ได้ให้ความเห็นชอบมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจออกมาอีกชุด ผ่านโครงการคนละครึ่งโดยคาดหวังจะกระตุ้นเศรษฐกิจช่วงไตรมาสสุดท้าย กระตุ้นกำลังซื้อให้ประชาชนกว่า 24 ล้านคน โดย โครงการคนละครึ่งจะแจกเงินให้ประชาชนวงเงิน 3,000 บาท ตั้งเป้าหมาย 10 ล้านคน และจะเปิดให้ร้านค้าลงทะเบียนผ่านเว็บไซต์ www.คนละครึ่ง.com ตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค. 63 โดยเน้นร้านค้าขนาดเล็ก หาบเร่ แผงลอยเพื่อให้ร้านของกินของใช้ ร้านโชห่วย หรือร้านธงฟ้าเข้าร่วมโครงการ
 

     ครม.ยังอนุมัติโครงการเพิ่มวงเงินซื้อของกินของใช้ให้ผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ที่มีผู้ถือบัตรขณะนี้ประมาณจำนวน 14 ล้านคน โดยเพิ่มให้อีกคนละ 500 บาทต่อเดือน เป็นคนละ 700-800 บาทต่อเดือน เป็นเวลา 3 เดือน ตั้งแต่เดือน ต.ค.-ธ.ค. 63 หรือเท่ากับเพิ่มให้รวมคนละ 1,500 บาท รวมวงเงินที่อนุมัติรอบนี้ทั้ง 2 โครงการ 5.1 หมื่นล้านบาท เพื่อให้เกิดการใช้จ่ายสะพัดหมุนเวียนในระดับฐานราก ที่ขณะนี้เรียกได้ว่าขาดเม็ดเงินหล่อเลี้ยง หลังจากโครงการแจกเงิน 5 พันบาทก่อนหน้านี้สิ้นสุดลง

     นายกรัฐมนตรีออกมาบอกว่าโครงการที่อนุมัติไปนั้นใช้จากเงินกู้วงเงิน 4 แสนล้าน เพื่อเยียวยาพิษโควิด-19 ที่ได้ออกพ.ร.ก.กู้เงินไปก่อนหน้านี้ โดยการใช้วงเงินส่วนนี้เพื่อหมุนเวียนในระบบให้เกิดการบริโภค โดยเฉพาะผู้ประกอบการรายย่อย พ่อค้าแม่ค้าขายปลีก และได้เน้นให้ประชาชนเข้าถึงกระเป๋าเงินดิจิทัลหรืออีวอลเล็ทและคิวอาร์โค้ด ซึ่งทุกร้านจะต้องมีคิวอาร์โค้ดเพื่อรัฐบาลจะจ่ายเงินลงไปโดยไม่ต้องผ่านมือผู้อื่น แต่เป็นการจ่ายเงินโดยตรง กระตุ้นใช้จ่าย เพิ่มกำลังซื้อ ลดค่าครองชีพ เมื่อมีคนจับจ่ายใช้สอย พ่อค้าแม่ค้าในตลาดก็จะมีเงินไปต่อยอด ซื้อขายต่อไปเรื่อยๆ และไม่ได้เป็นการสนับสนุนผู้ที่มีรายได้สูงแต่ประการใด
 

     ครม.ยังได้อนุมัติวันหยุดเพิ่มในช่วงเดือน 19-22 พ.ย. 2563 ซึ่งเป็นช่วงปิดเทอมของเด็กนักเรียน เพื่อกระตุ้นให้เกิดการท่องเที่ยว แม้จะเป็นวันหยุดจะต้องมีเจ้าหน้าที่คอยปฏิบัติหน้าที่ และอำนวยความสะดวกให้ประชาชนได้ตามปกติ
 

     เราเห็นว่าแม้เป็นมาตรการชุดเล็กๆ และผ่านความเห็นชอบจากครม.ให้ดำเนินโครงการออกมาล่าช้า แต่ยังดีกว่าไม่มีเม็ดเงินลงไปหล่อเลี้ยงเศรษฐกิจฐานรากเลย อย่างไรก็ดี รัฐต้องวางมาตรการป้องกันที่รัดกุมให้เม็ดเงินกระจายตัวและเกิดประโยชน์ในระดับฐานรากอย่างแท้จริง ป้องกันข้อครหาที่ถมเงินลงไปแล้วหายเข้ากระเป๋าผู้ผลิต ผู้ค้ารายใหญ่ ที่มีเครือข่ายรองรับ เพราะถ้าเป็นเช่นนั้นจะไม่เกิดการหมุนเวียนและต้องดูแลประชาชนเข้าถึงเทคโนโลยีและช่วยเหลือในการลงทะเบียนขอรับสิทธิ
 

     ที่สำคัญโครงการคนละครึ่งยังไม่เพียงพอกับการรองรับผลกระทบเศรษฐกิจที่จะเกิดในไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ รัฐบาลจะต้องคิดมาตรการอื่นเพิ่มเติมทั้งด้านการแก้ปัญหาหนี้และสนับสนุนสินเชื่อออกมาโดยเร็ว