จับตา บริษัทอสังหาริมทรัพย์ ชักดาบ-เบี้ยวหนี้

23 ก.ย. 2563 | 03:00 น.

จับตา บริษัทอสังหาริมทรัพย์ ชักดาบ-เบี้ยวหนี้ : คอลัมน์ฐานโซไซตี ฐานเศรษฐกิจ ฉบับ 3612 หน้า 4 ระหว่างวันที่ 24-26 ก.ย.2563 โดย... กาแฟขม

 

จับตา

บริษัทอสังหาริมทรัพย์

ชักดาบ-เบี้ยวหนี้
 

     **** หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับ3612 ระหว่างวันที่ 24-26 ก.ย.2563 เกาะติดทุกประเด็นความเคลื่อนไหว เศรษฐกิจ สังคม การเมือง ผ่านพ้นไปสำหรับการชุมนุมของแนวร่วมประชาชนปลดแอก ได้ส่งเสียงออกมา หลังจากนี้ผู้ที่เกี่ยวข้อง ผู้ที่มีหน้าที่คงดำเนินการกันต่อในแต่ละบทบาทหน้าที่ ทั้งการตอบสนองข้อเรียกร้องหรือกระทั่งการดำเนินการตามกฎหมายกับแกนนำผู้ชุมนุม ทั้งนี้และทั้งนั้น ไม่อยากเห็นการไล่บี้หรือการปรามาส การเยาะเย้ยถากถางผู้ชุมนุมจากผู้ที่ไม่เห็นด้วย การทำเช่นนั้นไม่น่าจะเกิดประโยชน์นอกจากเติมเชื้อไฟความเกลียดชังให้มากขึ้น
 

     **** ทำดีต้องปรบมือ ธนาคารออมสิน ยุค วิทัย รัตนากร นั่งผู้อำนวยการ เข็นมาตรการสารพัดในการเติมเงิน เติมเชื้อให้กับฐานรากกระตุกกระตุ้นเศรษฐกิจให้พลิกฟื้น ล่าสุดเข็นสินเชื่อประชารัฐเพื่อผู้สูงวัยออกมา ให้กู้รายละไม่เกิน 2 แสนบาทต่อคน เพื่อเป็นทุน หรือเป็นเงินทุนหมุนเวียนในการประกอบธุรกิจทดแทนการใช้หนี้นอกระบบ ผู้สูงอายุกู้ได้ต้องมีอายุ 60 ปี ขึ้นไป รวมเวลาในการผ่อนแล้วต้องมีอายุไม่เกิน 70 ปี โดยคิดอัตราดอกเบี้ยตามเกณฑ์ของสินเชื่อ ต้องกู้และเลือกผ่อนไม่ต่ำกว่า 3 ปี (36 งวด) และไม่เกิน 10 ปี (120 งวด)

     **** ยังไม่หยุดเท่านั้น เมื่อออกแคมเปญใหม่ หรือโปรเจ็กใหม่ โดยจัดหาพันธมิตรทางธุรกิจในการรับจำนำทะเบียนรถยนต์ ตั้งเป้าส่วนแบ่งตลาดไม่ต่ำกว่า 10-20% ของมูลค่าตลาดสินเชื่อ 100,000 ล้านบาท การทำเช่นนี้เพื่อให้เข้าไปมีบทบาทในการกำหนดทิศทางอัตราดอกเบี้ยในตลาด ปัจจุบันอยู่ที่ 24-28% ปี ให้เหลืออยู่ที่ไม่เกิน 18% ต่อปี เรียกว่าเข้าไปแข่งกับพวกจำนำทะเบียนรถทั้งหลายในตลาดที่โขกดอกเบี้ยสูงๆ มานาน แบงก์ออมสินจะเข้าไปถือหุ้นในบริษัทที่จะร่วมกับพันธมิตรไม่เกิน 49 % เพื่อความคล่องตัวการดำเนินงาน ตั้งเป้าปล่อยสินเชื่อรายการนี้ได้ในไตรมาสแรกปีหน้า ที่ผ่านมาต้องยอมรับว่าพวกนอนแบงก์ทั้งหลายนำเงินสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำจากออมสินออกไปหาประโยชย์กินดอกเบี้ยแพง ฟันกำไรอื้อซ่า ขณะที่ประชาชนที่ต้องการสินเชื่อแต่เข้าไม่ถึงระบบแบงก์ต้องชอกช้ำ หนักกว่านั้นหลายคนต้องเป็นหนี้นอกระบบดอกเบี้ยแพงลิบลิ่ว จากพวกทำนาบนหลังคน การปลดปล่อยทะลายกำแพงของออมสินเที่ยวนี้น่าจะช่วยให้อะไรๆดีขึ้นบ้าง
 

     **** แรงจริงๆ เมื่อนักลงทุนจองซื้อหุ้นเพิ่มทุน GULF ยอดจองทะลักล้น 1.26 เท่าจากที่จัดสรรให้ผู้ถือหุ้นเดิมในอัตราส่วน 10ต่อ 1  ภายหลังจากการเพิ่มทุน จะทำให้ทุนจดทะเบียน เพิ่มขึ้นจาก 10,666.5 ล้านบาท เป็น 11,733.15 ล้านบาท  ได้เงินเพิ่มทุนแล้ว 3.2 หมื่นล้านบาท จะกำเงินก้อนนี้ไปลงทุนในโครงการที่อยู่ในแผนงานทั้งในปัจจุบันและอนาคต ทั้งโครงการพลังงานหมุนเวียนในประเทศเวียดนาม โครงการพลังงานลมในประเทศเยอรมนี โครงการโครงสร้างพื้นฐานและสาธารณูปโภค รวมถึงแผนการขยายธุรกิจในอนาคต ทั้งในเอเชีย ยุโรป อเมริกา และภูมิภาคอื่น ๆก็ว่ากันไป

     **** จับตากันดีๆ ว่าด้วยเรื่องหนี้ เบี้ยวหนี้ คืนหนี้ ตรวจสอบแนวรบ บริษัทอสังหาริมทรัพย์เจ้าที่ไม่ใหญ่มากรายหนึ่งในตลาดหลักทรัพย์ จะฉวยโอกาสชุลมุนช่วงโควิด-19 หรือขาดสภาพคล่องจริง มิอาจทราบได้ แต่จ้องจะชักดาบบริษัทผู้รับเหมาก่อสร้าง ซึ่งมีหุ้นส่วนใหญ่เป็นชาวจีน ก็เตือนกันว่าคิดกันให้ดีๆ เงินแค่หลักร้อยล้าน อย่าเห็นเขาเป็นชาวต่างชาติแล้วไปเบี้ยวเขา ทำไปทำมาจะกลายแป็นเรื่องราวใหญ่โตได้ไม่คุ้มเสีย แว่วว่านักลงทุนจีนขยับไปร้องที่สถานทูต เรื่องมันจะไม่จืด แก้กันไม่ทัน ทำไป ทำมา ชื่อเสียงเสียหายขึ้นมาจะกู่ไม่กลับ กลายเป็นหลับไม่ตื่นขึ้นมาก็เป็นเรื่องยาว
 

     **** นี่ก็ขยันแต่อย่าทำเลย องค์การคลังสินค้า (อคส.) สั่งเจ้าหน้าที่สำรวจปัญหา ความต้องการ และนำเสนอแนวทางในการช่วยเหลือและส่งเสริมสินค้าภาคเกษตรทั่วประเทศ และนำมาวางแผนเพื่อออกมาตรการต่างๆ ก่อนนำเสนอระดับนโยบาย ระยะสั้นเตรียมนำเสนอใช้แฟคตอริ่ง(Factoring) หรือการให้การซื้อขายลูกหนี้ทางการค้า มาช่วยเหลือภาคเกษตรกร โดยใช้เงินรายได้ของอคส.ในการปล่อยให้ภาคเกษตรกู้ยืมและเก็บอัตราส่วนต่างกำไร และนำระบบบาร์เตอร์เทรด(Bartertrade)หรือสินค้าแลกสินค้า ระหว่างสินค้าไทยแลกการซื้อขายกับสินค้าจากนานาประเทศ ว่ากันตรงๆ อคส.ทำเรื่องแบบนี้สู้เอกชนไม่ได้ให้เอกชนเขาทำเถอะไปดูบทเรียนในอดีตกันก่อนก็ได้ที่ว่ามานี้สร้างความเสียหายเท่าไร สุดท้ายอคส.เป็นรัฐวิสาหกิจ คนตามเคลียร์ ตามจ่ายคือประชาชน เร่งสะสางเรื่องข้าวที่ค้ำคออยู่ให้ความร่วมมือกับอัยการ ปปท.อย่างเต็มที่เป็นภารกิจสำคัญที่ควรทำที่สุด อย่าไปหาเรื่องเข้ามาสุมเข้าใหม่เลย แค่ที่คิดถุงมือยางแสนล้านนี่ก็ประจานตนเองไปจนไม่เหลืออะไรแล้วกระมัง

​​​