กรรมของประเทศ ทุกข์ของคนไทย

09 ก.ย. 2563 | 05:30 น.

กรรมของประเทศ ทุกข์ของคนไทย : คอลัมน์ข้าพระบาท ทาสประชาชน ฐานเศรษฐกิจ ฉบับ 3608 หน้า 6 ระหว่างวันที่ 10-12 ก.ย.2563 โดย... ประพันธุ์ คูณมี

 

กรรมของประเทศ

ทุกข์ของคนไทย
 

     ในรอบ 15 ปี (2548-2563)  ที่ผ่านมา ประเทศไทยต้องติดหล่มจมปลักอยู่กับปัญหาวิกฤติการเมืองแทบโงหัวไม่ขึ้น บ้านเมืองจวนเจียนเข้าใกล้สงครามการเมืองหลายครั้ง เราเกือบเป็นรัฐที่ล้มเหลวเช่นเดียวกับหลายประเทศ ในอเมริกาใต้หรือตะวันออกกลาง ด้วยปัญหาความขัดแย้งของการเมืองภายในประเทศ และการแทรกแซงจากมหาอำนาจตะวันตก ที่คิดจ้องทำลายไทย ภายใต้หน้ากากมหามิตร
 

     ปี 2544-2548 เราได้รัฐบาลทักษิณ ที่มาจากการเลือกตั้งภายใต้รัฐธรรมนูญ 2540 ที่ได้รับการยอมรับจากประชาชนว่า เป็นรัฐธรรมนูญธงเขียว ฉบับประชาชนเพื่อการปฎิรูปประชาธิปไตย เป็นรัฐธรรมนูญที่มีกระบวนการยกร่างโดย ส.ส.ร. อันเป็นที่ยอมรับจากประชาชน และถือกันว่าเป็นรัฐธรรมนูญฉบับที่ดีฉบับหนึ่ง แต่ในที่สุดก็ได้พิสูจน์ให้เห็นเป็นที่ประจักษ์ว่าแม้จะมีรัฐธรรมนูญที่ว่าดี แต่ก็ให้กำเนิด "รัฐบาลที่โคตรโกง และโกงทั้งโคตร" มาปกครองประเทศ ที่อาศัยช่องว่างตามกฎหมายรัฐธรรมนูญ ปล้นประเทศ กดขี่ประชาชน ใช้อำนาจเพื่อประโยชน์และพวกพ้อง แบบไร้ยางอายที่สุด จนประชาชนมิอาจทนยอมรับต่อไปได้

     ปี 2548-2549 รัฐบาลทักษิณ 2 จึงต้องเผชิญหน้ากับการต่อต้านจากคลื่นประชาชนอย่างกว้างขวางทั่วประเทศ โดยกลุ่มพันธมิตรประชนเพื่อประชาธิปไตย และสิ้นสุดอำนาจลงด้วยการรัฐประหาร โดยคณะทหารที่นำโดย พลเอกสนธิ บุยรัตกลิน แม้จะยุติรัฐบาลโกงให้หมดอำนาจไปได้สามารถดำเนินคดีนักการเมืองทุจริตตามกฎหมาย แต่คณะรัฐประหารก็ปัสสาวะไม่สุด มิได้เดินหน้าปฏิรูปการเมืองก่อนการเลือกตั้ง จนที่สุดก็ถูกหยามว่าเป็นการปฏิวัติที่เสียของ เปิดทางให้อำนาจการเมือง "ระบอบทักษิณ" ฟื้นชีพขึ้นมาอีกครั้ง ภายใต้รัฐบาลนอมินี นายสมัคร-สมชาย และ ยิ่งลักษณ์ ตามลำดับ
 

     กรรมของประเทศ ทุกข์ของประชาชน จึงยิ่งหนักหน่วงกว่าเดิม ด้วยรัฐประหารที่เสียของ
 

     ปี 2551-2557 เป็นช่วงเวลาที่ประเทศอยู่ในภาวะวิกฤติทางการเมืองที่หนักหน่วงเลวร้ายที่สุด ทักษิณที่สูญเสียอำนาจทางการเมือง ได้ทุ่มทุนจัดตั้งและบงการขบวนการคนเสื้อแดง ให้เคลื่อนไหวทางการเมืองขับไล่รัฐบาล นายอภิสิทธิ์ เวชาชีวะ เพื่อทวงอำนาจทางการเมืองคืน ด้วยการเคลื่อนไหวที่ใช้มวลชนก่อจลาจล ใช้ความรุนแรงบุกทำลายการประชุมผู้นำอาเซียน ยึดราชประสงค์ ตั้งกองกำลังติดอาวุธใช้สวนลุมพินีเป็นฐานที่มั่น ระเบิดป่วนย่านสีลม ปิดประเทศเผาเมือง เผาศูนย์การค้า เผาทำลายสถานที่ราชการ ขณะที่ต่างชาติเข้าแทรกแซง จนประเทศเกิดสงครามกลางเมือง กลายเป็นรัฐที่ล้มเหลว จนรัฐบาลต้องยอมยุบสภา จัดให้มีเลือกตั้งใหม่ เหตุการณ์จึงยุติลงชั่วคราว
 

     แม้ต่อมาจะได้รัฐบาลยิ่งลักษณ์ นอมินีทักษิณเป็นนายกรัฐมนตรีปัญหาการเมืองของประเทศ ยังวุ่นวายไร้ความสงบต่อเนื่อง เพราะรัฐบาลยิ่งลักษณ์ก่อเรื่องฉาวทุจริตจำนำข้าว ลักหลับออกกฎหมายนิรโทษกรรมแบบสุดซอย เพื่อช่วยเหลือทักษิณพี่ชายให้พ้นผิด จึงเกิดการต่อต้านจากประชาชนนับสิบล้าน เกิดจลาจลทางการเมืองอีกครั้ง จนความสงบมาจบลงที่ "ลุงตู่" ด้วยการรัฐประหารยึดอำนาจอย่างเลี่ยงไม่ได้เมื่อ 22 พฤษภาคม 2557
 

     ปี 2557-ปัจจุบัน แม้การรัฐประหารของ คสช. จะสามารถยุติปัญหาวิกฤติการเมืองของประเทศ คืนความสงบให้กับบ้านเมือง และสะสางปัญหาการทุจริตของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ลงไปได้บ้างเพื่อฟื้นเศรษฐกิจประเทศ ประชาชนได้ทำมาหากินและใช้ชีวิตตามปกติได้บ้าง แต่คณะรัฐประหารก็ติดกับดักกับปัญหาเดิมๆ คือ ไม่เดินหน้าและไม่กล้าหาญในการปฏิรูปประเทศ ไม่ปฏิรูปการเมือง กลับสร้างรัฐธรรมนูญที่เป็นปัญหาและนำพาการเมืองหวนกลับไปสู่ปัญหาเดิมๆ แม้จะอ้างว่ามาจากการเลือกตั้ง เป็นนายกรัฐมนตรีตามรัฐธรรมนูญฉบับประชามติ แต่ก็ไม่เป็นที่ยอมรับโดยฉันทามติของสังคม

     การอยู่ในอำนาจต่อไปของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จึงกลายเป็นวิบากกรรมทางการเมือง ที่ยังหาความสงบไม่ได้ ต้องเผชิญหน้ากับคนอีกกลุ่มที่ไม่ยอมรับ ออกมาเคลื่อนไหวขับไล่เป็นรายวัน แม้จะมีผลงานการบริการ การแก้ปัญหาวิกฤติประเทศให้ผ่านพ้นได้ดีหลายเรื่อง แต่ผู้คนก็ยังรังเกียจถึงที่มาแห่งอำนาจอยู่ดี แถมทวงถามคำสัญญาว่าจะอยู่ไม่นาน และการปฏิรูปที่ยังไม่เห็นผล จะเดินหน้าหรือถอยหลังอย่างไร จึงกลายเป็นโจทก์สำคัญของลุงตู่
 

     หันมาพิจารณากลุ่มการเมืองฝ่ายค้าน ฝ่ายต่อต้านรัฐบาลที่เรียกร้องประชาธิปไตย พ่วงด้วยการให้ปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์ ก็เห็นภาพทมึนพวกตั้งตนเป็นศาสดาองค์ใหม่ทางการเมือง และมหาอำนาจอเมริกันอันตราย และพรรคการเมืองพวกล้มเจ้า ชักใยอยู่เบื้องหลัง แม้หลายสิ่งที่เด็กพูดอาจฟังดูดีมีสาระอยู่บ้าง แต่สิ่งที่พวกเขาพูดก็ไม่มีอะไรใหม่ที่ประเทศไม่เคยเจอมาก่อน ถ้าเชื่อและเดินตามก้นเด็กที่มีบรรดาอสูรการเมืองชักใย ก็มองออกแล้วว่าประเทศไทยจะตกอยู่ในภาวะการณ์เช่นใด
 

     ดูฮ่องกง ซีเรียเป็นตัวอย่าง และด้วยลีลาท่าทีการเคลื่อนไหว ที่ออกจะสุ่มเสี่ยง ก้าวร้าว พุ่งเป้าโจมตีสถาบันกษัตริย์ จึงทำใจยากที่จะทำให้ประชาชน เชื่อและคล้อยตามเด็กวานซืน ที่ทำตัวเป็นอึ่งอ่างลำพอง ทนงตนว่าเก่ง รู้ดีไปหมด ไม่เคารพไม่รับฟังความคิดเห็นผู้อื่น ไม่ศึกษาบทเรียนการเมืองไทยในอดีต อ้างบทเรียนต่างประเทศแบบผิดๆ เพราะทุกระบบระบอบการเมืองใดๆ ในโลกนี้ ล้วนมีบทเรียนและตัวอย่างให้เห็นหมดแล้ว ไม่ว่าระบอบคอมมิวนิสต์, ประชาธิปไตย สังคมนิยม หรือระบอบปกครองใดๆ ก็ตาม
 

     เราสามารถเปรียบเทียบกันได้หมด โดยเฉพาะประเทศประชาธิปไตยแบบอเมริกันก็ล้มเหลวเห็นๆ มิได้ดีเด่กว่าใครๆ ในโลก ถ้ายอมหลับหูหลับตาเชื่อและเดินตามเด็กๆ ก็ยังมองไม่เห็นอนาคตของบ้านเมือง ส่วนฝ่ายค้านยิ่งไม่ต้องพูดถึง เพราะหมดอนาคตไร้ค่า หมดความเชื่อถือมานานแล้ว
 

     นี่คือกรรมของประเทศไทย และทุกข์ของคนไทย ที่ยังต้องตกอยู่ในหล่มและวิบากกรรมของปัญหาการเมืองไทย ถึงวันนี้เรายังหาระบอบการเมืองการปกครองที่ลงตัวไม่ได้ เป็นยุคที่ประเทศยังไร้มหาบุรุษ ขาดผู้นำอันเป็นที่เคารพนับถือ และเป็นผู้ที่ได้รับความศรัทธาด้วยความเชื่อมั่นของมหาชน มาเป็นผู้นำพาชาติก้าวสู่การพัฒนาที่รุ่งเรืองสู่ความเป็นชาติแนวหน้า เป็นประเทศชั้นนำของโลก
 

     แม้ประเทศและประชาชน จะมีศักกยภาพและความพร้อมเพียงใดก็ตาม แต่เราก็สูญเสียโอกาสนั้นอย่างน่าเสียดาย หันซ้ายแลขวายามนี้ คนไทยต้องรบกวนพระสยามเทวาธิราชย์ อีกครั้งครับ