ฆ่าโหดกุชชี่ คดี 3 นัดสังหารกลางเมืองมิลาน

14 ส.ค. 2563 | 21:10 น.

พูดถึงเรื่องอาถรรพ์อันเนื่องมาแต่กรณีเรือรัก เรือหลอนแล้ว ก็ให้นึกถึงแมวอีกตัวในกล่องกุชชี่ บัดนี้กาลเวลาผ่านมานานพอจะเปิดกล่องปล่อยแมวนั้นออกสู่ public domain ได้ล่ะกระมัง

เช้าวันหนึ่ง กลางกรุงมิลาน เมาริตซิโอ กุชชี่ ทายาท และคีย์แมนคนสำคัญของเครือกุชชี่ ถูกยิงตายระหว่างเดินออกจากที่พักไปสำนักงานบริษัทเปิดใหม่ส่วนตัว ภายหลังจากขายหุ้นล็อตสุดท้ายปล่อยให้กิจการเครื่องหนังหรูเฟ่ในตำนานสามชั่วคนตกไปเปนของคนอื่น

คดีฆาตกรรมสยองขวัญนี้ใช้เวลากว่าสามปี กว่าปริศนาเลือดจะคลี่คลาย ด้วยว่าเลือดที่ข้นนั้น เจอเงินทองผลประโยชน์เข้าไปคนก็จางตามหนังไทยเขาว่า

เมาริตซิโอ ผู้ตายเปนหลานปู่กุชชิโอ กุชชี่ ผู้ก่อตั้งแบรนด์เนมกุชชี่ ผู้ซึ่งแบ่งกองมรดกออกเปนสองสาย ลูกชายคนโตคืออัลโด้ สายหนึ่ง ส่วนอีกสายให้พ่อของเมาริตซิโอ ลูกชายคนเล็ก โดยลูกสาวคนกลางไม่ได้อะไรเลย
แวะพักบรรทัดนี้เพื่อรำพึงว่า

...แหม่พล็อตเรื่องคุ้นๆ...

เมาริตซิโอ กุชชี่

หุ้นสมบัติชนิด 50:50 นี้ ทีมทนายใดเจอเข้าไปก็ต้องเอาเท้าก่ายหน้าผาก เพราะว่ามันไม่มีใครถือหุ้นใหญ่กว่าใคร การณ์จะทำอะไรถ้าสองฝ่ายไม่เห็นตรงกันแล้วไซร้ธุรกิจกิจการมันจะติดกึกติดกักขยับเขยื้อนไปไหนไม่ได้

วิธีการจะคลี่คลายนั้นมีอยู่แต่จะไม่เล่าในที่นี้เพราะ มันหนักสมอง จะเล่าว่าในกรณีกุชชี่นี้เขาคลี่คลายด้วยกาลเวลา ใช่_กาลเวลาที่นานพอ

ข้างหนึ่งทำให้อัลโด้พี่ชายคนโตซึ่งแกร่งกล้าพานาวากุชชี่ล่องตลาดสากลได้สำเร็จ อดรนทนไม่ได้ที่ประดาลูกชายสามคนของตัวจะมือเปล่า จึงลงมือแบ่งหุ้นของตัวเองให้ลูกบ้างคนละเท่าๆกัน ในขณะที่พ่อของเมาริตซิโอผู้น้องเล็กก็กระเสาะกระแสะ แม้ไม่ทันจะลงมือโอนหุ้น ก็มรณาไปก่อนทำให้หุ้นครึ่งหนึ่งตกแก่ลูกชายคนเดียว ผงาดขึ้นเปนผู้ถือหุ้นใหญ่เกินหน้าลุงอัลโด้ ผู้ซึ่งพลาดตัดแบ่งหุ้นตัวเองออกให้แก่ลูกๆไปแล้วถึงสามกอง

ศึกชิงมรดกหุ้นกุชชี่นี้พิศดารพันลึกนัก เมาริตซิโอผู้นี้ ทำอะไรไม่ใคร่ถนัดเพราะว่าครอบครัวข้างลุงเขาผนึกกำลังก็ได้หุ้น 50% เท่าข้างตัวอยู่ร่ำไปนั่นเอง ติดกับ 50:50 ดังว่าแม้ว่านอกอิตาลี ครอบครัวกุชชี่จะมีบริษัทอื่นๆที่สัดส่วนหุ้นไม่เท่ากันบ้าง เช่น บริษัททำน้ำหอม บริษัททำนาฬิกา ที่พาให้ใครที่มีหุ้นมากกว่าก็พากันยักย้ายส่วนได้ของตัวกักไว้ก่อน

ชั่วแต่ว่าลูกชายของลุงคนหนึ่งเปาโล นั้นมีประเด็นเปราะบางกับพ่อของตัวเอง เริ่มจะหันเหอยากทำสินค้าหรูในชื่อตนแยกวงไปต่างหาก เมาริตซิโอก็สบช่องจะรวบอำนาจ ด้วยกลวิธีบางประการ เปาโลคนนี้ตกลงขายหุ้นส่วนของตัวให้กับเมาริตซิโอแลกกันอภิสิทธิ์บางอย่างในการใช้สิทธิผู้จะผู้หุ้นใหญ่ปล่อยไปเสีย และไม่ยับยั้งให้เปาโลตั้งยี่ห้อสินค้าใหม่ในนาม ‘เปาโล กุชชี่’

 เปาโล กุชชี่ผู้ทำแพแตก

มาบัดนี้ เมาริตซิโอ กุชชี่ ก็เปนผู้ถือหุ้นใหญ่ในเครือกุชชี่ไปเสียแล้ว จากนั้นเมาริตซิโอ ก็เดินเกมส์ต่อหารือแผนลึกกับทีมวานิชธนากรชื่อดังอย่างมอร์แกน สแตนลี่ย์ ให้เปน Fronterออกหน้าเจรจาซื้อหุ้นของลุง และลูกพี่ลูกน้องสองส่วนที่เหลือเพื่อครอบครองอาณาจักรกุชชี่ไปเสียทั้งหมด

ดีลนี้ตกลงกัน โดยให้ มอร์แกน สแตนลี่ย์ หาแหล่งทุนให้ด้วย เมื่อถึงเวลาเหมาะสม เมาริตซิโอเขาจัดซื้อคืนทั้งหมดเพื่อเปนผู้ถือหุ้นใหญ่แต่ผู้เดียวในราคาสมเหตุสมผล

ยอดทนายโดมินิค

กุนซือสำคัญในที่นี้ คือ โดมินิค เดอ โซเล ยอดทนายอิตาลีจากฮาวาร์ด ครั้งนั้นเปนทนายประจำตระกูลของกุชชี่ ร่วมกับ ศาสตราจารย์จูเซปเป้ เซน่า ทางกฎหมายคนสำคัญของฟลอเรนซ์ บนเส้นทางลึกลับยาวไกลนั้น บัดนี้ปี 2020 เดอ โซเล คือประธานคนปัจจุบันของสถาบันการประมูลโซธบีส์ ซึ่งเปนประธานทอม ฟอร์ดด้วยอีกโสตหนึ่ง

แต่เรื่องน่าสนใจคือความพยายามให้ยักษ์ใหญ่อย่างมอร์แกน สแตนลี่ย์เห็นดีเห็นงามกับการออกหน้ารับภาระครั้งนี้ (ต่อภาค 2)

 

นสพ.ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 40 หน้า 23 ฉบับที่ 3,601 วันที่ 16 - 19 สิงหาคม พ.ศ. 2563