นักศึกษารุ่นใหม่ กับประชาธิปไตยไร้เดียงสา

11 ส.ค. 2563 | 12:05 น.

นักศึกษารุ่นใหม่ กับประชาธิปไตยไร้เดียงสา : คอลันม์ข้าพระบาท ทาสประชาชน ฐานเศรษฐกิจ ฉบับ 3600 หน้า 6 ระหว่างวันที่ 13-15 ส.ค.2563 โดย...ประพันธุ์ คูณมี

นักศึกษารุ่นใหม่

กับประชาธิปไตยไร้เดียงสา
 

     การก่อเกิดขบวนการของนักเรียน นิสิต นักศึกษา ครั้งที่ยิ่งใหญ่และทรงพลังที่สุดในประวัติศาสตร์ คงไม่มีครั้งใดเทียบได้กับขบวนการนักศึกษา เมื่อเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 หรือ วันมหาวิปโยค หรือวันมหาปิติ อันเป็นเหตุการณ์การเรียกร้องประชาธิปไตย ที่มีนักศึกษาประชาชนเข้าร่วมมากกว่า 5 แสนคน โดยถือได้ว่าเป็นการชุมนุมเรียกร้องประชาธิปไตยครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งของประเทศไทย
 

     เหตุที่การเคลื่อนไหวครั้งนั้น มีนักศึกษาประชาชนเข้าร่วมจำนวนมากที่สุด สาเหตุสำคัญเป็นเพราะช่วงเวลานั้นประเทศไทย ตกอยู่ภายใต้การปกครองด้วยอำนาจเผด็จการที่ต่อเนื่องยาวนานถึง 16 ปี คือตั้งแต่ ปี 2500-2516 อันเป็นยุคเรืองอำนาจของ จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ต่อเนื่องถึง จอมพลถนอม กิตติขจร ความเรียกร้องต้องการเรื่องสิทธิ เสรีภาพ และประชาธิปไตย เพื่อให้ประเทศมีรัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุด ในการปกครองประเทศเยี่ยงนานาประเทศ จึงเป็นความเรียกร้องต้องการร่วมกันของประชาชนยุคนั้น

 

     เมื่อเกิดขบวนการเรียกร้องรัฐธรรมนูญ และมีองค์กรนำของนิสิต นักศึกษา โดยศูนย์กลางนิสิต นักศึกษาแห่งประเทศ ออกมาขานรับชูธงนำขบวน ด้วยข้อเรียกร้องที่มีเหตุผล เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติและประชาชน ที่มีรูปแบบการเคลื่อนไหวด้วยความ สงบ สันติวิธี โดยปราศจากอาวุธ ด้วยเจตนารมณ์อันบริสุทธิ์ ขบวนการนักศึกษาจึงได้รับการสนับสนุนจากประชาชนเรือนแสนเรือนล้านทั่วประเทศ นำมาสู่ชัยชนะและการเปลี่ยนแปลง ล้มอำนาจเผด็จการทหารขณะนั้นได้ พลิกโฉมหน้าประเทศสู่ประชาธิปไตย มีรัฐธรรมนูญปกครองประเทศสืบต่อมา
 

     ขบวนการนักศึกษาในอดีต มีความสามัคคี มีผู้นำที่มีวุฒิภาวะ พูดจาปราศรัยน่าเชื่อถือ ไม่เคยปราศรัยโจมตีสถาบันพระมหากษัตริย์ หรือมีเป้าหมายที่จะโค่นล้มสถาบันแต่อย่างใด ตรงกันข้ามเมื่อมีเหตุการณ์ที่นักเรียน นิสิต นักศึกษา ถูกปราบปรามหรือถูกทำร้าย ปะทะกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ นักศึกษาผู้ชุมนุมยังได้รับพระกรุณาธิคุณ ขณะถูกตีต้องแตกขบวนหนีการถูกทำร้าย ตกลงคูคลองเข้าไปในสวนจิตรลดา โดยพระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงให้เปิดวังสวนจิตรลดา ให้พวกเรานักศึกษา ได้เข้าไปหลบภัยด้วยทรงพระเมตตาอย่างยิ่งต่อนักศึกษาผู้ชุมนุม และในภายหลังเหตุการณ์สงบลง พระเจ้าอยูหัวฯ และพระบรมวงศานุวงศ์ ได้เสด็จเยี่ยมผู้ได้รับบาดเจ็บตามโรงพยาบาลต่างๆ และสำหรับผู้เสียชีวิต ยังได้พระราชทานเพลิงศพที่ท้องสนามหลวงอีกด้วย ความเป็นประชาธิปไตยกับสถาบันพระมหากษัตริย์ หาได้เป็นปฏิปักษ์ใดๆ ต่อกันแต่อย่างใดไม่
 

     เมื่อเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 ผ่านพ้นไป ทำให้ประชาชนไทยตื่นตัวเรื่องความเป็นประชาธิปไตยอย่างยิ่ง นักศึกษาในยุคสมัยนั้นต่างเรียนรู้ สนใจศึกษาเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ชาติ ประวัติศาสตร์โลก เกี่ยวกับการเมืองและการปกครองที่ดี พวกเราสนใจศึกษาทฤษฎีการเมือง หาความรู้ด้านเศรษฐศาสตร์ ด้านปรัชญาการเมืองจากสำนักคิดต่างๆ ทั่วโลก และยังทำกิจกรรมเผยแพร่ประชาชธิปไตย โดยนักศึกษาได้ออกสู่ชนบทร่วมอาสาพัฒนาช่วยเหลือชาวนาชาวไร่ บางส่วนก็ร่วมทำกิจกรรมกับผู้ใช้แรงงาน กรรมกร เพื่อการศึกษาเรียนรู้ชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนและบำเพ็ญตนให้เป็นประโยชน์ต่อสังคม นักศึกษายุคนั้นศึกษาหาความรู้จากแหล่งความรู้ที่หลากหลาย มิได้จมปลักอยู่กับความคิดล้มเจ้า ปฏิวัติแบบฝรั่งเศส หรือยอมเป็นทาสความคิดพวกอาจารย์ในมหาวิทยาลัยบางคนแบบงมงาย ที่เอาแต่โจมตีสถาบันกษัตริย์ และชวนนักศึกษาปฏิวัติล้มล้างสถาบันกษัตริย์ เหมือนเด็กๆ นักศึกษายุคนี้
 

     ในด้านความกล้าหาญ กล้าเสียสละ และความมีจิตใจเป็นนักต่อสู้ นักศึกษายุค 14 ตุลาฯ มีความกล้าหาญสูงมาก แตกต่างจากจากเด็กยุคปัจจุบันราวฟ้ากับดิน ถึงขนาดเข้าป่าจับปืน ร่วมสร้างกองทัพประชาชน ต่อสู้เพื่ออุดมการณ์ทางการเมืองของตน ก็เคยมีบทเรียนมาแล้ว คำถามถึงเด็กๆและพวกอาจารย์ปากดีที่แอบอยู่หลังเด็กๆ ในการชุมนุมขณะนี้ พวกคุณกล้าปฏิวัติประเทศ ตามแบบอย่างฝรั่งเศสจริงหรือไม่ หรือเก่งแต่ปาก ดีแต่พูด ยุเด็กออกหน้าไปตายแทน ถ้าบ้านเมืองเปลี่ยนแปลงตามแนวทางของพวกคุณ โฉมหน้าประเทศไทยจะเป็นอย่างไร ใครจะมาปกครองบ้านเมือง คนไทยจะมีชีวิตความเป็นอยู่ดีขึ้นหรือเลวลงอย่างไร สังคมใหม่คือสังคมแบบไหน บอกคนร่วมชาติได้หรือไม่ ช่วยอธิบายด้วย

     ที่ยกเอาเรื่องราวของนักศึกษาในอดีตมากล่าว เพราะเห็นเด็กนักศึกษาปัจจุบันออกมาชุมนุม จัดกิจกรรมทางการเมือง เรียกร้องให้ประชาชนเข้าร่วม ชูธงขอเป็นผู้นำประชาธิปไตย เรียกร้องการเปลี่ยนแปลงประเทศ ต้องการสร้างโลกกำหนดชะตากรรมชาติด้วยมือตน อ้างเป็นคนรุ่นใหม่ผู้เฒ่าคนแก่คนรุ่นเก่าอย่ามายุ่ง แสดงบทกร่างไม่เห็นหัวผู้ใหญ่ ใครตำหนิวิจารณ์การกระทำอันไม่บังควรของพวกตนในการชุมนุม ไม่เห็นด้วยกับพวกตนก็รุมจิกหัวด่า หาว่าไม่ใช่พวกประชาธิปไตย ทั้งที่พฤติกรรมของพวกตนสวนทางกับความเป็นประชาธิปไตยเสียเอง
 

     การเคลื่อนไหวทางการเมืองของนักศึกษาปัจจุบัน พวกเขาอยากให้คนอื่นเข้าใจ อยากให้ผู้ใหญ่รับฟังเสียงเรียกร้อง อยากให้สังคมทำตามความต้องการ แต่ก็ไร้เดียงสา เอาแต่ใจตัวเอง ไม่ประสีประสาทางการเมือง ไม่มีเหตุผลใช้แต่อารมณ์และความรู้สึก ไม่รู้สำนึกผิดชอบชั่วดี ไม่รู้จักอะไรควรหรือมิบังควร ก่อปัญหาสร้างศัตรูกับทุกคนที่เห็นต่าง ไม่แสวงหามิตรหาแนวร่วม ไม่แสวงจุดร่วมสงวนจุดต่างใดๆ ใครขวางกูลุยด่าให้เสียหายด้วยถ้อยคำหยาบคายสารพัด แม้พ่อแม่ตัวเองตักเตือนแนะนำด้วยความหวังดีก็ไม่ฟัง
 

     ภาพลักษณ์การเคลื่อนไหวของนักศึกษาเหล่านี้มีแต่ติดลบทุกวัน การพูดการปราศรัยไม่มีข้อมูลความรู้ เอาแต่ด่าๆๆๆ และใช้อารมณ์ ไม่มีแนวทางข้อเสนอที่ดีกว่าให้สังคมยอมรับเชื่อถือ แถมชูป้ายคำขวัญที่ต่อต้านสถาบันเหยียบย่ำความรู้สึกคนร่วมชาติ แต่กลับเชิดชูบูชาพวกซาตานในคราบอาจารย์ ที่หลบหนีคดีและไม่มีใครศรัทธายอมรับนับถือ จึงเสียดายพลังอันบริสุทธิ์ของนักศึกษาพวกนี้จริงๆ ที่วันๆ ได้แต่เอาหัวชนกำแพงเลือดอาบหน้า โดยไม่มีวันชนะ
 

     พลังนักศึกษายุคนี้ นอกจากจะไร้พลัง อ่อนแอ ขาดแนวร่วม โดดเดี่ยวแล้ว ยังเป็นขบวนการประชาธิปไตยที่ไร้เดียงสาสิ้นดี ในวัยของพวกเขาเป็นวัยที่เพิ่งลืมตาดูโลก เห็นโลกแค่เพียงเศษเสี้ยว ไม่ต่างจากกบในก้นบ่อเห็นท้องฟ้าแค่ปากบ่อ ผ่านประสบการณ์ทางสังคมเพียงน้อยนิด ทุกวันยังแบมือขอเงินพ่อแม่ แต่จะบังคับให้ผู้ใหญ่ทำตามใจตน มันใช่หรือเปล่า? พวกนู๋ต่างหากที่ควรต้องรับฟังและเรียนรู้จากผู้ใหญ่ใส่ใจต่อเสียงท้วงติงวิพากษ์วิจารณ์ของสังคมให้มาก ไม่ควรดื้อรั้นและเอาความเป็นประชาธิปไตยที่ไร้เดียงสา มายัดเหยียดให้สังคม พวกเธอต่างหากที่ต้องหยุด! และหันกลับไปทบทวนตนเอง
 

     ตอบคำถามกับตนเองให้ได้เสียก่อนว่า สู้และทำวันนี้เพื่อประชาธิปไตยจริงๆ หรือไม่ หรือทำเพื่อใคร? กันแน่ พวกคุณต้องหยุดเย่อหยิ่งทนงตนว่าฉลาดเหนือผู้อื่นเสีย เพราะพวกคุณแท้จริงก็เป็นแค่เพียงเบี้ยและเครื่องมือทางการเมือง ที่ผู้ใหญ่กลุ่มหนึ่งและพรรคการเมืองหนึ่งหลอกใช้ก็เท่านั้นเอง