เมื่อคุณเป็นธุรกิจครอบครัว คุณก็จะต้องเป็นธุรกิจธุรกิจครอบครัวตลอดไป

22 เม.ย. 2559 | 00:00 น.
ธุรกิจครอบครัวซึ่งมีจำนวนอย่างน้อยครึ่งหนึ่งของบริษัททั้งหมดในสหรัฐอเมริกานั้นถือว่าเป็นกระดูกสันหลังเศรษฐกิจของประเทศเลยทีเดียว อย่างไรก็ตามธุรกิจครอบครัวเหล่านี้ยังคงต้องเผชิญกับความท้าทายอย่างต่อเนื่องทั้งจากเศรษฐกิจ ความต้องการของลูกค้า นโยบายรัฐบาลและการแข่งขัน เป็นต้น ซึ่งจากการศึกษาของ Kreischer Miller ที่ได้ทำการสำรวจธุรกิจครอบครัวกว่า 100 ราย ใน Greater Philadelphia โดยใช้การสำรวจแบบออนไลน์ในปี 2015 พบว่า เจ้าของธุรกิจครอบครัวที่เกิดในยุคเบบี้บูมเมอร์ (baby boomers) บอกว่าพวกเขาเหน็ดเหนื่อยเต็มทีแล้วกับการที่ต้องเผชิญกับความท้าทายต่างๆมาเป็นเวลาหลายปี จึงส่งผลให้มีเจ้าของธุรกิจครอบครัวรุ่นอาวุโสจำนวนมากที่พร้อมจะเกษียณตัวเองออกจากธุรกิจ โดยมีเจ้าของธุรกิจครอบครัว 36% ที่คาดว่าจะออกจากธุรกิจภายใน 5 ปีข้างหน้า

[caption id="attachment_45735" align="aligncenter" width="700"] ภาพที่ 1 ภาพที่ 1[/caption]

ขณะที่ 26% ตั้งเป้าหมายไว้ว่าจะวางมือในอีก 6-10 ปีข้างหน้า และกว่า 1 ใน 3 (38%) ยังไม่คิดจะออกจากธุรกิจอย่างน้อยก็ในช่วง 10 ปีนี้ อย่างไรก็ตามการที่จะประสบความสำเร็จในการเกษียณตัวเองการออกจากธุรกิจนั้นในถือเป็นความท้าทายอย่างมากสำหรับธุรกิจครอบครัวกว่า 51% ที่ยังไม่มีแผนในการสืบทอดธุรกิจ และ62% ของเจ้าของธุรกิจครอบครัวรุ่นอาวุโสที่บอกว่าพวกเขามีแผนที่จะออกจากธุรกิจในอีก 10 ปีข้างหน้า นอกจากนี้ยังมีข้อค้นพบจากการสำรวจที่น่าประหลาดใจอีกอย่างเกี่ยวกับแผนการเกษียณของเจ้าของธุรกิจครอบครัวรุ่นอาวุโส คือ กว่า 65% ของผู้ถูกสำรวจบอกว่ายังไม่มีแผนการเกษียณที่ชัดเจน และเมื่อถามว่าพวกเขามีแผนมรดก (estate plan)ที่ชัดเจนให้กับสมาชิกครอบครัวคนอื่นๆมีหุ้นส่วนในบริษัทหรือไม่ พบว่ากว่า 57% บอกว่ามีแผนนี้อยู่แล้ว (ภาพที่ 1) ซึ่งจะเห็นได้ว่ามีช่องว่างที่ชัดเจนระหว่างระยะเวลาที่คาดการณ์ไว้ในการเกษียณของเจ้าของรุ่นอาวุโสกับความพร้อมของบริษัทและรุ่นที่จะออกจากธุรกิจไป

[caption id="attachment_45736" align="aligncenter" width="700"] ภาพที่ 2 ภาพที่ 2[/caption]

เมื่อถามต่อไปถึงการเข้ามารับช่วงต่อของทายาทรุ่นต่อไปก็พบว่าครอบครัวส่วนใหญ่ (56%) เชื่อว่าสมาชิกในครอบครัวต้องการเข้ามาทำงานในธุรกิจครอบครัวเพราะต้องการเป็นเจ้าของกิจการ ทั้งนี้สำหรับครอบครัวที่ยอมให้สมาชิกในครอบครัวเข้ามาทำงานในธุรกิจครอบครัวนั้นพบว่า 41% ต้องการออกไปทำงานเพื่อหาประสบการณ์จากภายนอกเสียก่อน (ภาพที่ 2) โดยพบว่าธุรกิจเหล่านี้ต้องการประสบการณ์จากภายนอกอย่างน้อย 3 ปี นอกจากนี้ยังพบว่าธุรกิจครอบครัวโดยทั่วไปนั้นต้องการที่จะรักษาความเป็นเจ้าของธุรกิจเอาไว้ให้ครอบครัวของตน แม้จะตระหนักดีถึงความสำคัญในการดึงดูดและรักษาผู้บริหารที่ไม่ใช่สมาชิกในครอบครัวเอาไว้ในองค์กร

ทั้งนี้เจ้าของธุรกิจครอบครัวมักบอกว่าปรัชญาของพวกเขาคือ "เมื่อคุณเป็นธุรกิจครอบครัว คุณก็จะต้องเป็นธุรกิจครอบครัวตลอดไป" ซึ่งสอดคล้องกับผลการสำรวจที่พบว่าเจ้าของธุรกิจครอบครัวส่วนใหญ่ (77%) ไม่ยอมให้ผู้บริหารที่ไม่ใช่สมาชิกในครอบครัวเข้ามามีความเจ้าของในธุรกิจครอบครัว โดยวิธีการส่วนใหญ่ที่ใช้ในการจ่ายค่าตอบแทนให้กับผู้บริหารที่ไม่ใช่สมาชิกในครอบครัวที่นอกเหนือจากเงินเดือน คือการให้โบนัส (64%) และการประกันชีวิต (36%) เพื่อรักษาพวกเขาไว้

[caption id="attachment_45737" align="aligncenter" width="700"] ภาพที่ 3 ภาพที่ 3[/caption]

นอกจากนี้เมื่อถามถึงปัจจัยภายนอกที่มีผลกระทบต่อธุรกิจของพวกเขา เจ้าของธุรกิจครอบครัวส่วนใหญ่ตอบว่าเทคโนโลยีใหม่ๆ อุปสรรคในการแข่งขันและนโยบายภาษีมีผลกระทบต่อธุรกิจมากที่สุด และเมื่อให้เรียงลำดับความสำคัญของประเด็นสำคัญ 6 เรื่องที่มีผลกระทบต่อธุรกิจครอบครัวมากที่สุด พบว่าประเด็นสำคัญที่สุด 2 อันดับแรกคือเรื่องของความชัดเจนของแผนการสืบทอดกิจการ (24%) และการเกษียณของเจ้าของรุ่นอาวุโส (23%) (ภาพที่ 3) อย่างไรก็ตามเมื่อถามเจ้าของธุรกิจครอบครัวเกี่ยวกับมุมมองในอนาคตเกี่ยวกับธุรกิจของพวกเขา โดยให้สเกล 1 - 10 ซึ่ง 1 เป็นลบมากที่สุดและ10 เป็นบวกมากที่สุด พบว่าค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 7.6 หมายความว่าที่สุดแล้วเจ้าของธุรกิจครอบครัวส่วนใหญ่ยังคงมองอนาคตของธุรกิจในแง่บวกหรือมีอนาคตอันสดใสอยู่นั่นเอง

ที่มา: Kreischer Miller. 2016. Family Business Survey: The Impending Perfect Storm Facing family Businesses. Available: http://www.kmco.com/wp/wp-content/uploads/2016-Kreischer-Miller-Family-Business-Survey.pdf

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 36 ฉบับที่ 3,148 วันที่ 14 - 16 เมษายน พ.ศ. 2559