กระบวนยุติธรรม “มืดบอด” “ดำเป็นขาว-ขาวเป็นดำ”

05 ส.ค. 2563 | 04:00 น.

กระบวนยุติธรรม “มืดบอด” “ดำเป็นขาว-ขาวเป็นดำ” : คอลัมน์ทางออกนอกตำรา ฐานเศรษฐกิจ ฉบับ 3598 หน้า 6 ระหว่างวันที่ 6-8 ส.ค.2563 โดย... บากบั่น บุญเลิศ

กระบวนยุติธรรม

“มืดบอด”

“ดำเป็นขาว-ขาวเป็นดำ”
 

     ถ้อยแถลงของคณะทำงานตรวจสอบการพิจารณาสั่งคดี “บอส-วรยุทธ อยู่วิทยา” ที่อัยการสูงสุดมีคำสั่งเสร็จเด็ดขาดไม่ฟ้องไปก่อนหน้านี้ ทำให้ประชาชนเกิดความสับสนแค้นเคืองในวังวนของกระบวนการยุติธรรมไทยอย่างมากมาย
 

     คำชี้แจงผลการสอบสวนของคณะทำงาน กลับทำให้ประชาชนคนไทยเห็นว่า นี่มิใช่คำแถลง หากแต่เป็นการ“แถ-ลงน้ำครำ”
 

     เพราะอะไรนะหรือขอรับ...ผมสรุปให้ดูแบบนี้
 

     ประเด็นแรก คณะทำงานพิจารณาข้อเท็จจริง พยานหลักฐานในสำนวนการสอบสวน และความเห็นในคำสั่งของ “เนตร นาคสุข” รองอัยการสูงสุดแล้ว มีความเห็นว่า เนตร ได้มีความเห็นและคำสั่งคดีนี้ ไปตามพยานหลักฐานที่พนักงานสอบสวนทำการสอบสวน ซึ่งปรากฏอยู่ในสำนวน ไม่ได้นำพยานหลักฐานนอกสำนวนหรือที่ไม่ได้ปรากฏในสำนวนการสอบสวนมาสั่งคดี หรือเป็นการใช้ดุลยพินิจสั่งคดีไปตามอำเภอใจ มีเหตุผลประกอบตามสมควร
 

     ภายหลังที่มีคำสั่งไม่ฟ้องแล้ว ได้เสนอสำนวนให้ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา อันเป็นการตรวจสอบและถ่วงดุลการสั่งคดีของอัยการ และผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติไม่แย้งคำสั่งไม่ฟ้องดังกล่าว
 

 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

กระบวนยุติธรรม “มืดบอด” “ดำเป็นขาว-ขาวเป็นดำ”

     คณะทำงานประทับตราการันตี การสั่งคดีของ “เนตร นาคสุข” รองอัยการสูงสุด เป็นไปตามกฎหมายและระเบียบแล้ว
 

     ผลการสอบคำสั่งเด็ดขาดไม่ฟ้อง ได้ฟอกให้ “เนตร” รองอัยการสูงสุดผู้มีมลทิน ขาว สะอาด หมดจด แบบไร้ที่ติไปแล้ว
 

     ประเด็นที่สอง คณะทำงานพิจารณาข้อเท็จจริงของอัยการระบุว่า แม้คดีนี้จะมีคำสั่งเสร็จเด็ดขาดไม่ฟ้อง บอส-วรยุทธ ในข้อหาขับรถโดยประมาทเฉี่ยวชนผู้อื่นถึงแก่ความตายแล้วก็ตาม แต่มิได้หมายความว่า จะไม่สามารถทำอะไรได้อีกแล้ว คณะทำงานพบว่า คดียังไม่ถึงที่สุด...อ้าว....
 

     กล่าวคือ เมื่อมีพยานหลักฐานใหม่อันสำคัญแก่คดี น่าจะทำให้ศาลลงโทษผู้ต้องหานั้นได้ ก็สามารถสอบสวนต่อไปได้
 

กระบวนยุติธรรม “มืดบอด” “ดำเป็นขาว-ขาวเป็นดำ”

     คณะทำงานฯได้ตรวจพบในสำนวนสอบสวนมีการตรวจเลือดของ บอส-วรยุทธ ผู้ต้องหาที่ 1 ในวันเกิดเหตุ และพบสารประเภท โคเคนในเลือด แต่พนักงานสอบสวน ไม่ได้แจ้งข้อกล่าวหาและสอบสวนในข้อหาเสพยาเสพติดให้โทษประเภท 2 ตาม พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 58 มาตรา 91 ซึ่งอัตราโทษจำคุก 6 เดือน ถึง 3 ปี (อายุความตามกฎหมาย 10 ปี)
 

     แปลว่าให้นำการเสพโคเคนมาฟ้องบอส-วรยุทธ ใหม่ว่างั้นเถอะ พิลึกมั้ยอัยการ-ตำรวจ มองไม่เห็น เพราะหน้ามืด ตาบอด
 

     ส่วนในข้อหาขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย แม้พนักงานอัยการจะมีคำสั่งไม่ฟ้อง บอส-วรยุทธ ผู้ต้องหาที่ 1 และผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติไม่แย้งคำสั่งไม่ฟ้องดังกล่าว ทำให้คำสั่งไม่ฟ้องเสร็จเด็ดขาดตามกฎหมาย และห้ามมิให้ทำการสอบสวนอีกก็ตาม....แปลว่า บอส-วรยุทธ พ้นผิดในคดีขับรถชนคนตายไปเรียบร้อยโรงเรียกระทิงแดงแล้ว
 

     แต่ปรากฏพยานหลักฐานสำคัญ คือ ดร.สธน วิจารณ์วรรณลักษณ์ อาจารย์ประจำภาควิชาฟิสิกส์ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้ให้ข้อเท็จจริงว่า ขณะเกิดเหตุ ดร.สธน เป็นที่ปรึกษาให้กับกองพิสูจน์หลักฐานกลาง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เมื่อเกิดเหตุคดีนี้ได้รับการประสานจาก พ.ต.ท.ธนสิทธิ แตงจั่น ให้ไปร่วมตรวจที่เกิดเหตุ และดูกล้องวงจรปิด วัตถุพยาน ได้ทำรายงานการคิดคำนวณให้กับกองพิสูจน์หลักฐานเพื่อใช้ประกอบคดี โดยยืนยันว่า ขณะเกิดเหตุรถของผู้ต้องหาที่ 1 แล่นไปด้วยความเร็ว 170 กิโลเมตรต่อชั่วโมง แต่ข้อเท็จจริงดังกล่าว ไม่ปรากฏในสำนวนการสอบสวน
 

     นอกจากนี้ ยังปรากฏข้อเท็จจริงผ่านสื่อ จากการให้สัมภาษณ์ของ ดร.สามารถ ราชพลสิทธิ์ ให้ข้อเท็จจริงว่า เป็นผู้มีความรู้ความเชี่ยวชาญด้านการหาความเร็วของรถ ให้ความเห็นทางวิชาการว่า ขณะเกิดเหตุ รถน่าจะมีความเร็วไม่ตำกว่า 126 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ข้อมูลดังกล่าวถือเป็นพยานหลักฐานใหม่ และเป็นพยานสำคัญที่จะทำให้ศาลลงโทษผู้ต้องหาที่ 1 ได้ จึงมีความเห็นและนำเรียนอัยการสูงสุดเพื่อพิจารณา แจ้งพนักงานสอบสวน เพื่อดำเนินคดีกับ บอส-วรยุทธ ต่อไป...!?!
 

     การที่คณะทำงานของอัยการดึงเอาความเห็นของ ดร.สามารถ มาอ้างในการคำนวณความเร็วผ่านสื่อ เมื่อเวลาผ่านมา 8 ปี แบบนี้ทำได้ด้วยหรือ เป็นหลักฐานใหม่หรือ…
 

     ขนาด ดร.สธน วิจารณ์วรรณลักษณ์ อาจารย์ประจำภาควิชาฟิสิกส์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญพิเศษ เป็นที่ปรึกษาให้ข้อเท็จจริงต่อกองพิสูจน์หลักฐาน ในขณะที่เกิดเหตุ
 

     ยังไม่มีน้ำหนักแม้แต่บาทเดียว...ประเทศนี้มืดบอดจริงหนอ!
 

     สรุปง่ายๆว่า สำนวนที่อัยการสั่งไม่ฟ้องเสร็จเด็ดขาด ไม่มีเรื่องความเร็วรถ และเรื่องการเสพโคเคน มาตั้งแต่แรก

กระบวนยุติธรรม “มืดบอด” “ดำเป็นขาว-ขาวเป็นดำ”

     คำถามคือ ทำไมไม่ใส่ไป ใครดึงออก เพื่อค้าสำนวน เพื่อช่วย บอส-วรยุทธ แล้วจะทำอย่างไร ไม่มีใครพูดกัน...ดำเป็นขาว-ขาวเป็นดำไปเรียบร้อยกระบวนการยุติธรรมไทยจากผลสอบของอัยการ...
 

     คราวนี้ผมพามาดูความจริงที่พนักงานอัยการทั้งในระนาบรองอธิบดี อธิบดีอัยการอย่างน้อย 8 คน ส่งมาให้ผมดูว่า “อัยการสูงสุด” ในช่วงนั้น ถ้าไม่ใช่ “จุลสิงห์ วสันตสิงห์” ก็คงเป็น “อรรถพล ใหญ่สว่าง” เคยมีคำสั่งยุติเรื่องขอความเป็นธรรมของบอส-วรยุทธ มาตั้งแต่วันที่ 27 พฤศจิกายน 2556 ก่อน “เนตร นาคสุข” รองอัยการสูงสุด รื้อคดีขึ้นมาใหม่
 

     หลังจากที่อัยการสูงสุดมีคำสั่งให้ยุติเรื่องขอความเป็นธรรม บอส-วรยุทธ ยังคงยื่นหนังสือร้องขอความเป็นธรรมต่ออัยการสูงสุดหลายครั้ง รวมถึงยื่นคำร้องขอความเป็นธรรมต่อ กมธ.กฎหมายกระบวนการยุติธรรมและกิจการตำรวจ สนช.ปี 2557 จนอัยการสูงสุดมีคำสั่งให้พนักงานสอบสวนทำการสอบสวนเพิ่มเติมตามหนังสือร้องขอความเป็นธรรมอีกหลายครั้ง
 

     ต่อมารองอัยการสูงสุด (เนตร นาคสุข อธิบดีอัยการ สำนักงานคดีศาลสูง รักษาการในตำแหน่ง รองอัยการสูงสุด) พิจารณาผลการสอบสวนเพิ่มเติมแล้ว มีความเห็นว่า คดีมีปัญหาที่จะต้องพิจารณา เฉพาะข้อกล่าวหาของผู้ต้องหาที่ 1 ว่าขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ตามที่อธิบดีอัยการ สำนักงานคดีอาญากรุงเทพใต้ มีคำสั่งฟ้อง ว่ามีข้อเท็จจริงใหม่เพียงพอที่จะกลับความเห็นและคำสั่งเดิมหรือไม่
 

     ปรากฏว่า พินันพ์ ลักษณ์ศิริ อัยการผู้เชี่ยวชาญพิเศษ สำนักงานคดีกิจการอัยการสูงสุด ปฏิบัติราชการในหน้าที่อัยการพิเศษฝ่ายคดีร้องขอความเป็นธรรม 2 ได้ตีตกคำขอความเป็นธรรมของบอส-วรยุทธ ไปเมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2562 แล้วมีความเห็นดังนี้....
 

     1.กรณีพยานปาก พล.อ.ท.จักรราช ถนอมกุลบุตร เคยมีการสอบพยานปากนี้เพิ่มเติมไปแล้ว ตามสำนวน 2ข.เลขที่ 182/2556 พยานปากนี้จึงมิใช่พยานหลักฐานใหม่.....ชัดมั้ย
 

     2.กรณีพยานปาก นายจารุชาติ มาดทอง นั้นพนักงานสอบสวนได้เคยสอบปากคำพยานปากนี้ไว้เป็นพยานแล้ว ในคดีจราจรที่ 632/2555 ของสถานีตำรวจทองหล่อ เมื่อวันที่ 8 กันยายน 2555 ต่อมาพยานปากนี้ผู้ต้องหาเคยร้องขอความเป็นธรรมให้สอบพยานปากนี้อีก และพนักงานสอบสวนได้แจ้งว่า พยานปากนี้เดินทางไปต่างประเทศ ไม่สามารถสอบสวนเป็นพยานได้ และผู้ต้องหาไม่ได้ติดใจพยานปากนี้เป็นพยานแล้ว (ตามข้อเท็จจริงที่ได้จากสำนวน 2ข. 182/2556 แผ่นที่ 8 และสำนวน 1ข.130/2559 แผ่นที่ 52) พยานปากนี้จึงไม่ใช่พยานหลักฐานใหม่....ชัดแจ้งมั้ยครับ
 

     3. ผู้ต้องหาที่ 1 ได้ยื่นขอความเป็นธรรมต่อ ประธาน กมธ.ฎหมาย กระบวนการยุติธรรมและกิจการตำรวจ สนช.ใน2557และกมธ.ได้เชิญ รศ.ดร.สายประสิทธิ์ เกิดนิยม มาให้ข้อมูลเกี่ยวกับความ เร็วเฉลี่ยของรถก่อนเกิดเหตุ เห็นว่า พยานปาก รศ.ดร.สายประสิทธิ์ ผู้ต้องหาที่ 1 เคยร้องขอความเป็นธรรมและพยานเคยให้การต่อพนักงานสอบสวนแล้ว และอัยการสูงสุด (พงษ์นิวัฒน์ ยุทธภัณฑ์บริภาร) ได้เคยวินิจฉัยในประเด็นพยานปากนี้ไว้แล้ว (ข้อเท็จจริงปรากฎตามสำนวน 1ข.เลขที่ 79/2560 แผ่นที่ 7-9) ดังนั้น พยานปากนี้จึงไม่ใช่พยานหลักฐานใหม่....ดำหรือขาว ขาวหรือดำ
 

     การร้องขอความเป็นธรรมให้สอบพยานเพิ่มเติม จึงไม่ใช่พยานหลักฐานใหม่อันสำคัญที่จะเปลี่ยนแปลงความเห็นและคำสั่งเดิมได้ ประกอบกับผู้ต้องหาที่ 1 ร้องขอความเป็นธรรมเข้ามาหลายครั้ง อันอาจเชื่อได้ว่าเป็นการประวิงคดี....ขาวหรือดำ
 

     ประกอบกับคดีนี้ผู้ต้องหาที่ 1 ยังหลบหนี แต่ได้มอบอํานาจให้ทนายความมาร้องขอความเป็นธรรมแทนผู้ร้อง โดยผู้ร้องมิได้มาร้องขอความเป็นธรรมด้วยตนเอง จึงเห็นควรยุติเรื่องร้องขอความเป็นธรรมของผู้ร้อง และ เห็นควรงดแจ้งคําสั่งยุติให้ผู้ร้องทราบ (ตามหนังสือประทับตราสํานักงานอัยการสูงสุด ด่วนที่สุด ที่ อส 0008 (คธ2)/4099 ลงวันที่ 11 เมษายน 2559
 

     ทว่าในวันที่ 4 ธันวาคม 2562 ได้การสอบสวนพยาน พล.อ.ท.จักรกฤช กับ นายจารุชาติ เพิ่มเติมอีกครั้ง จนนำมาสู่คำสั่งไม่ฟ้องเสร็จเด็ดขาดบอส-วรยุทธ ให้หลุดคดีไปโดยใสสะอาด..
 

     ดำหรือขาว ชาวประชาไทยช่วยตอบหน่อยครับ...