AOT มีแววตํ่าตม

31 ก.ค. 2563 | 23:00 น.

AOT มีแววตํ่าตม!!! : คอลัมน์เมาธ์ทุกอำเภอ ฐานเศรษฐกิจ ฉบับ 3597 ระหว่างวันที่ 2-5 ส.ค.2563  By…เจ๊เมาธ์

AOT

มีแววตํ่าตม!!!
 

     >> ตัวเลข GDP ในไตรมาสที่ 2 ของประเทศสหรัฐอเมริกาติดลบไปถึง -32.9% ถือว่าเป็นตัวเลขที่สูงที่สุดเป็นประวัติการณ์ นับตั้งแต่มีการบันทึกข้อมูลตั้งแต่ในปี 1947 เป็นต้นมา ตัวเลขการหดตัวนี้สูงกว่าวิกฤตการณ์ในช่วง Hamburger Crisis ถึง 4 เท่าตัว จึงไม่น่าแปลกใจว่าทำไมก่อนการประกาศตัวเลข GDP เพียง 1 วัน ที่ประชุม FOMC (Federal Open Market Committee) หรือคณะกรรมการนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ จึงได้ออกแถลงการณ์ว่าจะยังคงอัตราดอกเบี้ยเอาไว้ที่ 0-0.25% และรับประกันว่าจะใช้เครื่องมือทุกอย่างเพื่อช่วยในการพยุงเศรษฐกิจสหรัฐต่อไป
 

     >> แน่นอนว่าเครื่องมือที่ว่านั้นก็คือสิ่งที่เรียกกันว่า QE (Quantitative Easing) หรือนโยบายทางการเงินเชิงปริมาณแบบผ่อนคลาย โดยทางธนาคารกลางสหรัฐ (FED) จะอัดฉีดเงินสดเข้าไปในระบบแบบไม่อั้น ซึ่งธนาคารกลางสหรัฐเป็นเพียงธนาคารกลางหนึ่งเดียวของโลก ที่สามารถสั่งพิมพ์เงินสดและอัดฉีดเข้าระบบได้โดยตรง โดยไม่ต้องมีสินทรัพย์คํ้าประกัน (ทองคำ) เหมือนที่ประเทศอื่นจะต้องมี
 

     >> การอัดฉีดเงินจำนวนมหาศาลเข้าไปในระบบ ไม่ใช่จะมีแต่ด้านดีเพียงด้านเดียว ข้อเสียที่เด่นชัดที่สุดของ QE คือมีผลกระทบโดยตรงกับสกุลเงิน จนอาจทำให้เกิดอัตราเงินเฟ้อสูงและสภาวะฟองสบู่ ที่เห็นได้ชัดเจนที่สุดคือราคาทองคำที่พุ่งสูงเป็นประวัติการณ์ถึง 1,975 ดอลลาร์/ออนซ์ ในขณะที่นักลงทุนเริ่มเทขายสินทรัพย์ความเสี่ยงสูง เพื่อถือครองสินทรัพย์ที่มั่นคงกว่าจากการที่ค่าเงินสกุลดอลลาร์ลดตํ่าลง และยังรวมถึงการที่เงินสกุลดอลลาร์ถูกตั้งคำถามถึงเรื่องของเสถียรภาพค่าเงินจากประชาคมโลกนั่นเอง

     >> มาที่หุ้นนอนแบงก์อย่าง MTC, SAWAD, AEONTS, และ KTC ที่ออกอาการผวาหนัก...หุ้นตกแรงหลังจากที่ธนาคารออมสินตั้งเป้าว่าจะบุกลูกค้ากลุ่มสินเชื่อส่วนบุคคล เริ่มจากการลดดอกเบี้ยลง 8-10% จากปัจจุบัน พร้อมเปิดทางให้ลูกค้าสามารถเข้ามารีไฟแนนซ์กับธนาคารออมสินได้ เอาจริงๆ เจ๊เมาธ์บอกได้เลยว่ามันไม่ง่าย...และดูเหมือนว่าผู้บริหารของธนาคารออมสิน อาจจะยังตีโจทย์ได้ไม่แตกนะคะ ประเด็นคือกลุ่มลูกค้านอนแบงก์ส่วนใหญ่ จะเป็นบุคคลที่ใช้หลักทรัพย์คํ้าประกันเงินกู้เข้ามา...และคนกลุ่มนี้ส่วนใหญ่ไม่มีเงินเดือนค่ะ แล้วถ้ามารีไฟแนนซ์ในระบบธนาคารจะเอาอะไรมาคํ้าประกันกันคร้าา บอกตรงๆ เลยว่าถ้าไม่แก้ระเบียบในส่วนนี้ ก็ยากที่จะมีส่วนแบ่งกับกลุ่มนอนแบงก์เค้าค่ะ
 

     >> หลังจากที่ผ่านแนวต้าน 120 บาทไปได้ ราคาหุ้นของ CBG ก็ยืนวิ่งขึ้นไปถึงจุดสูงสุดที่ 129 บาท ซึ่งถ้าจะถามว่าถึงจุดสูงสุดหรือยัง...เจ๊เมาธ์ก็ตอบได้ว่ายังไม่ถึงจุดที่ว่านั่นเลยค่ะ เพราะตอนนี้มีนักวิเคราะห์หลายสำนักออกมาให้เป้าหมายราคา อย่างบล.เคทีบี ให้เป้าราคาที่ 132 บาท บล.ทิสโก้ ให้เป้าราคา 133 บาท สูงที่สุดก็คือ บล.เอเชีย เวลท์ ที่ให้เป้าถึง 144 บาท โดยกลุ่มนักวิเคราะห์คาดการณ์ว่ากำไร 2/63 จะออกมา 817 ล้านบาท โตขึ้น 48% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา และโตขึ้น 2% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า แต่ราคาหุ้นของ CBG จะไปถึงเป้าหรือเปล่าก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งนะคะ เพราะตอนนี้ “เจ้าสัวแอ๊ดบาว” ก็รวยเกินสองหมื่นล้านไปแล้วค่า เอาเป็นว่าแค่เจ๊เมาธ์มาอัพเดตข้อมูลให้ฟังค่ะ
 

     >> ในที่สุดผู้บริหารของ AOT ระดับกรรมการผู้อำนวยการใหญ่อย่าง นิตินัย ศิริสมรรถการ ก็ได้ออกมายอมรับแล้วว่า ผลการดำเนินงานในปีนี้อาจจะขาดทุนเป็นปีแรก เพราะนอกจากนักท่องเที่ยวในประเทศจะยังคงไม่ยอมใช้การเดินทางโดยทางเครื่องบิน เพราะค่าตั๋วแพงกว่าที่เคยเป็นมา นอกจากนี้รายได้ที่มาจากร้านค้าปลอดภาษี ก็ยังถูกเลื่อนออกไปเป็นปีด้วยค่ะ ส่วนเรื่องงบกระตุ้นการท่องเที่ยวที่หวังว่าจะช่วยให้ AOT มีรายเข้ามา...เจ๊ได้ข่าวมาว่าหลายโรงแรมยังแอบขึ้นราคาค่าที่พัก จนนักท่องเที่ยวเบื่อไม่อยากเที่ยวกันแล้วค่ะ เฮ้อ...แล้วแบบนี้งบกระตุ้นการท่องเที่ยวจะถึงมือ AOT เหรอค่ะ นี้ก็ยังไม่รู้ว่าผลการดำเนินงาน 2/63 ของ AOT จะออกมาเป็นลูกผีหรือลูกคนนะคะ เอาเป็นว่า AOT ยังมีโอกาสที่จะตํ่าลงไปกว่านี้อีกค่ะ แต่ถ้าใครมีเงินเย็นเก็บยาวๆ ได้ก็จัดได้...ถือว่าเป็นการบริหารหัวใจก็แล้วกันค่า
 

     >> หุ้นกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์อย่าง DELTA, KCE, HANA ตอนนี้มีเพียง DELTA รายเดียวเท่านั้น ที่แจ้งผลการดำเนินงานแล้วก็มีกำไรถึง 2,021.51 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 132.7% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน จนราคาหุ้นวิ่งขึ้นมาจากราคา 90 บาท ขึ้นมาเป็น 119 บาท ฉุดให้หุ้นในกลุ่มเดียวกันอย่าง KCE และ HANA ถูกไล่ราคาตามขึ้นมา แต่เจ๊เมาธ์จะขอเตือนว่าหุ้นต่างบริษัทจะมาใช้มาตรฐานเดียวกันไม่ได้นะคะ เพราะในกรณีของ KCE นักวิเคราะห์คาดว่าผลประกอบการน่าจะตํ่าสุดและเป็นขาดทุนในช่วงไตรมาส 2/63 โดยประมาณการยอดขายลดลง...อัตรากำไรขั้นต้นคาดว่าจะหดตัวเหลือ 16% จาก 19% ในไตรมาส 2/62 และจาก 24% ในไตรมาส 1/63 ส่วนทาง HANA คาดกำไรหลักลดลง 78% จากช่วงเดียวกันเมื่อปีก่อน เหลือ 100 ล้านบาท โดยอัตรากำไรขั้นต้นในไตรมาส 2/63 ลดเป็น 7.7% จาก 13% ในไตรมาส 2/62 และ 15.4% ในไตรมาส 1/63 แปลกันตรงๆ ก็คือไตรมาสที่ 2/63 ทางด้าน KCE จะขาดทุน ส่วนทาง HANA จะมีกำไรลดลงนั้นหละค่า เอาเป็นว่าถ้าใครยังจะไล่ราคาก็หยุดคิดก่อนได้ค่ะ