เงินผันเฉียดหมื่นล้าน
สร้างงานทุกตำบล
คึกลิด แกเป็นคน คิดลึก
กลางคืนดึกๆ
แกนั่งนึก นอนคิด
คิดช่วย คนยาก คนจน
ให้สภาตำบล สร้างถนน เชื่อมติด
พวกเรา ก็ไปรับจ้าง (ซ้ำ)
ขุดคลอง สร้างทาง เอาสตางค์คึกลิด...
ลิง ค่าง บ่าง ชะนี อีเห็น ร้องเพลงเก่ายุคโบราณกันดังไปทั้งท้องทุ่ง
เพราะนึกไม่ถึงนโยบายเงินผันของรัฐบาลของ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช เมื่อปี 2518 จะหวนกลับมาสร้างความคึกคักให้กับผู้คนในท้องถิ่นบ้านไร่ปลายนาอีกครั้งในยุครัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
ยุคนั้น “เงินผัน” ถือเป็นนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาลที่จัดสรรงบประมาณ 2,500 ล้านบาท มอบให้สภาตำบลทั่วประเทศใช้จ้างแรงงานท้องถิ่น ทำโครงการที่เป็นประโยชน์แก่สาธารณะ เช่น สร้างถนน สร้างโรงเรียน ขุดคูคลอง ทำฝายเก็บน้ำ
เงินผัน 2,500 ล้านบาท ในปี พ.ศ.2518 เมื่อก๋วยเตี๋ยวราคาชามละ 3 บาท ถือเป็นเงินก้อนใหญ่ มีเสียงคัดค้าน เสียงตำหนินโยบายนี้มากมาย บ้างล้อเลียนว่าเป็น “เงินผลาญ” หรือ “ตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ” รวมทั้งได้รับข้อวิพากษ์วิจารณ์ว่าเต็มไปด้วยการคอร์รัปชัน
นายกฯ คึกฤทธิ์ โต้ข้อกล่าวหานั้นว่า “ถ้าจะพูดถึงคอร์รัปชัน ผมยอมรับ มันมี ไม่ได้มากมายอะไร...ก็โครงการเงินผันนั้น ราษฎรมีโอกาสครั้งแรกตั้งแต่ตั้งเมืองไทยมา" จนฮือฮาไปทั่วประเทศ
ยุคนี้ 8 ก.ค.2563 รัฐบาลนายกฯลุงตู่ อนุมัติเงินก้อนโตกว่า 9,800 ล้านบาท เห็นชอบโครงการ 1 ตำบล 1 กลุ่มเกษตรทฤษฎีใหม่ ให้ "เฉลิมชัย ศรีอ่อน" รมว.เกษตรและสหกรณ์ ไปทำโครงการพัฒนาเกษตรกรรมยั่งยืน เพื่อแก้ปัญหาผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โรคโควิด 19) โดยให้ลงไปถึงระดับหมู่บ้าน โดยใช้หลักของเกษตรทฤษฎีใหม่ตามแนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เกี่ยวกับการบริหารจัดการที่ดินเพื่อการอยู่อาศัยและมีชีวิตอย่างยั่งยืน
สาระหลักจะมีการแบ่งพื้นที่เป็นส่วนๆ ได้แก่ พื้นที่น้ำ พื้นที่ดินเพื่อเป็นที่นาปลูกข้าว พื้นที่ดินสำหรับปลูกไม้ผลไม้ยืนต้น พืชไร่นานาพันธุ์ และที่สำหรับอยู่อาศัยและเลี้ยงสัตว์ ในอัตราส่วน 30:30:30:10 เป็นหลักการในการบริหารจัดการที่ดินและน้ำ เพื่อการเกษตรในที่ดินขนาดเล็กให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด
โครงการ 1 ตำบล 1 กลุ่มเกษตรทฤษฎีใหม่ จะกำหนดคุณสมบัติเกษตรกร จัดทำคู่มือการดำเนินการเกษตรทฤษฎีใหม่ รับสมัครและคัดเลือกเกษตรกรที่จะเข้าร่วมโครงการ โดยต้องมีพื้นที่เกษตรตั้งแต่ 3 ไร่ และพร้อมอุทิศตนเป็นต้นแบบศูนย์เรียนรู้ชุมชน
ผู้เข้าร่วมจะได้รับสระเก็บน้ำความจุรวม 4,000 ลูกบาศก์เมตร เพื่อส่งเสริมและปัจจัยการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำจากกรมประมง การปรับสภาพและบำรุงดิน
จากกรมพัฒนาที่ดิน การส่งเสริมปัจจัยด้านปศุสัตว์และพืชเลี้ยงสัตว์
ที่สำคัญเกษตรกรจะได้รับการอบรมบ่มเพาะ ให้มีความเข้าใจอย่างลึกซึ้งในแนวคิดเกษตรทฤษฎีใหม่
เป้าหมายการดำเนินงานคาดว่าจะมีกลุ่มเกษตรกรเกิดขึ้นราว 4,009 ตำบล เฉลี่ยตำบลละ 16 ราย รวมทั้งสิ้น 64,144 ราย
จะมีการจ้างงาน ตำบลละ 8 คน รวม 32,072 ราย คนเข้าร่วมจะมีรายได้เดือนละ 9000 บาท/ราย เป็นระยะเวลา 12 เดือน
อีเห็นบอกว่า ตามแผนงานของโครงการ 1 ตำบล 1 กลุ่มเกษตรทฤษฎีใหม่ คาดว่าจะมีพื้นที่เกษตรกรรมยั่งยืน เพิ่มขึ้นรวม 192,432 ไร่ พื้นที่เก็บกับน้ำจุได้ รวม 256 ล้าน ลูกบาศก์เมตร พื้นที่ปลูกป่าเพิ่มขึ้น 19,253 ไร่
อะแฮ่มจะมีเกษตรกรได้รับการพัฒนาให้มีความมั่นคงในอาชีพอย่างยั่งยืนถึง 64,144 ราย เกิดการจ้างงาน 32,072 คน
รัฐมนตรีเฉลิมชัยประกาศชัดว่าจะแปลงต้นแบบเพื่อการเรียนรู้เกษตรทฤษฎีใหม่กว่า 64,144 แปลง....wowww มั่ย?
เงินกำลังจะหมุนไปใส่มือประชาชน