มูลนิธิทางศาสนา ฟ้องขอให้รัฐพิจารณา เงินอุดหนุนศูนย์การเรียน

01 ส.ค. 2563 | 12:20 น.

คอลัมน์อุทาหรณ์จากคดีปกครอง โดย นายปกครอง

หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับ 3,596 หน้า 5 วันที่ 30 กรกฎาคม - 1 สิงหาคม 2563

 

การศึกษาเป็นรากฐานของชีวิต... และเป็นปัจจัยสำคัญในการพัฒนาประเทศในศตวรรษที่ 21 โดยนอกจากรัฐ เอกชน และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นแล้ว บุคคล ครอบครัว องค์กรชุมชน องค์กรเอกชน องค์กรวิชาชีพ สถาบันศาสนา ฯลฯ ก็มีสิทธิในการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานตามที่กฎหมายกำหนดได้ 

ดังคดีที่หยิบยกมาฝากในวันนี้ โดยเป็นกรณีของมูลนิธิทางศาสนาแห่งหนึ่ง (องค์กรเอกชน) ซึ่งเป็นนิติบุคคลที่มีวัตถุประสงค์เพื่อจัดการเกี่ยวกับการศึกษาให้กับเยาวชนและบุคคลทั่วไป ส่งเสริมและสนับสนุนในการเผยแพร่ศาสนาอิสลาม รวมทั้งจัดหาทุนการศึกษาให้เด็กกำพร้าและยากจน ได้ยื่นคำขอจัดตั้ง “ศูนย์การเรียน” ในระดับก่อนประถมศึกษาและระดับประถมศึกษา และขอให้รัฐพิจารณาจัดสรรเงินอุดหนุนสำหรับการจัดการศึกษาของศูนย์การเรียนดังกล่าวต่อสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษากรุงเทพมหานคร 

ต่อมามูลนิธิฯ ได้สอบถามถึงความคืบหน้าซึ่งได้รับแจ้งว่าอยู่ระหว่างการดำเนินการโดยยังไม่มีแนวปฏิบัติในกรณีดังกล่าว มูลนิธิฯ จึงเปิดการเรียนการสอนไปก่อนเพราะมีนักเรียนมาสมัครเรียนแล้ว และได้นำคดีมาฟ้องต่อศาลปกครอง โดยฟ้องสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษากรุงเทพมหานคร เป็นผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ในฐานะผู้มีอำนาจพิจารณาคำขอจัดตั้งศูนย์การเรียน ฟ้องเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน เป็นผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 ในฐานะผู้มีอำนาจจัดสรรเงินอุดหนุนสำหรับการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐาน 

ระหว่างการพิจารณาคดีของศาลปรากฏว่า… สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษากรุงเทพมหานคร ได้พิจารณาเห็นชอบให้ผู้ฟ้องคดีจัดการศึกษาตามคำขอแล้ว 

อย่างไรก็ตาม ศาลปกครองสูงสุดได้วินิจฉัยว่าเป็นการปฏิบัติหน้าที่ล่าช้าเกินสมควร โดยเห็นว่า แม้กฎกระทรวงว่าด้วยสิทธิขององค์กรชุมชนและองค์กรเอกชนในการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานในศูนย์การเรียน พ.ศ. 2555 จะไม่ได้กำหนดระยะเวลาในการพิจารณาคำขอไว้ แต่ผู้มีอำนาจก็ต้องดำเนินการภายในระยะเวลาอันสมควร คือ ภายใน 90 วัน นับแต่วันที่ได้มีคำ ขอจัดตั้งศูนย์การเรียนที่พิพาท ตามนัยมาตรา 49 แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542

คดีดังกล่าวจึงเหลือประเด็นปัญหาที่ต้องพิจารณาว่า... การที่เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ไม่พิจารณาจัดสรรเงินอุดหนุนสำหรับการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานตามคำขอของผู้ฟ้องคดี เป็นการละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติหรือไม่?

 

ประเด็นนี้...ศาลปกครองสูงสุดพิจารณาเห็นว่า เมื่อผู้ฟ้องคดีได้รับอนุญาตให้จัดตั้งศูนย์การเรียนแล้ว เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานจึงมีหน้าที่ต้องพิจารณาคำขอรับการจัดสรรเงินอุดหนุนการจัดการศึกษาของผู้ฟ้องคดีนับแต่วันที่มีคำสั่งอนุญาตให้จัดตั้งศูนย์การเรียน ตามนัยข้อ 6 วรรคหนึ่ง ประกอบกับข้อ 13 ของกฎกระทรวงว่าด้วยสิทธิขององค์กรชุมชนหรือองค์การเอกชนในการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานในศูนย์การเรียน พ.ศ. 2555 

 

มูลนิธิทางศาสนา ฟ้องขอให้รัฐพิจารณา เงินอุดหนุนศูนย์การเรียน

 

และแจ้งผลการพิจารณาให้ผู้ฟ้องคดีทราบ เมื่อมิได้ดำเนินการจึงเป็นการละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนด จึงพิพากษาให้เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานพิจารณาการจัดสรรเงินอุดหนุนศูนย์การเรียนตามคำขอผู้ฟ้องคดีและแจ้งผลให้ผู้ฟ้องคดีทราบ โดยดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ศาลมีคำพิพากษา (คำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่ อร. 14-14/2563)

คำพิพากษาในคดีดังกล่าว... ศาลได้วางแนวทางการปฏิบัติราชการที่ดี กรณีที่มีกฎหมายกำหนดอำนาจหน้าที่ในการพิจารณาคำขอในเรื่องใดไว้ ผู้มีหน้าที่จะต้องดำเนินการพิจารณาคำขอในเรื่องนั้น ภายในเวลาที่กฎหมายกำหนด หากกฎหมายในเรื่องนั้นมิได้กำหนดไว้ให้พิจารณาภายในเวลาอันสมควร 

 

ซึ่งในกรณีนี้ศาลเห็นว่าระยะเวลาอันสมควรคือภายใน 90 วัน ตามนัยมาตรา 49 แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองฯ โดยเมื่อพิจารณาแล้วมีความเห็นเป็นประการใดก็จะต้องแจ้งผลการพิจารณาให้ผู้ยื่นคำขอทราบ โดยไม่อาจอ้างว่ายังไม่มีแนวปฏิบัติภายในหน่วยงานได้ 

อย่างไรก็ตาม ระยะเวลาอันสมควรในการพิจารณาคำขอนั้น มีประเด็นที่ผู้สนใจอาจศึกษาเพิ่มเติม ในมาตรา 39/1 เพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2557 ซึ่งได้กำหนดว่า การออกคำสั่งทางปกครองเป็นหนังสือในเรื่องใด หากมิได้มีกฎหมายหรือกฎกำหนดระยะเวลาในการออกคำสั่งทางปกครองในเรื่องนั้นไว้เป็นประการอื่น ให้เจ้าหน้าที่ออกคำสั่งทางปกครองนั้นให้แล้วเสร็จภายใน 30 วัน นับแต่วันที่เจ้าหน้าที่ได้รับคำขอและเอกสารถูกต้องครบถ้วน 

(ปรึกษาคดีปกครองได้ที่สายด่วนศาลปกครอง 1355)