คอลัมน์: พื้นที่นี้....Exclusive
โดย:งามตา สืบเชื้อวงค์
การเลือกลงทุนทองคำมีเหตุผลหลายอย่างด้วยกัน เช่น การเปลี่ยนเงินออมให้เป็นทรัพย์สินเพื่อสร้างรายได้ให้กับตัวเอง และการลงทุนในทองคำนั้นยังเป็นหนึ่งในวิธีการสร้างผลตอบแทนที่ดี และอาจทำกำไรระยะสั้นได้สูง และเป็นสินทรัพย์ที่มั่นคงกว่าถ้าเทียบกับหุ้นในชั่วโมงนี้
สอดคล้องกับที่ อภิชาต ลักษณะสิริศักดิ์ ผู้จัดการทั่วไป บริษัทอ้อยและน้ำตาลไทย จำกัด (อนท.)ให้สัมภาษณ์ “ฐานเศรษฐกิจ” เรื่อง “ทองคำ” ในฐานะอดีตกรรมการผู้จัดการบริษัท ออสสิริส ฟิวเจอร์ส จำกัด ที่คลุกคลีอยู่ในวงการสินค้าโภคภัณฑ์มาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะทองคำ เหล็ก น้ำตาล มานานนับปี
-ถือทองคำไว้เสี่ยงน้อย
นายอภิชาตมองว่า “ทองคำ” มีมูลค่าในตัวเอง ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนรูปร่างหรือดัดแปลง ในสมัยก่อนเมื่อ 40 -50 ปีที่แล้วราคาทองคำมีมูลค่าน้อยกว่า 500 บาท ปัจจุบันราคาทอง 1 บาทมีมูลค่ามากกว่า 25,000 บาท (ราคาทองคำในบ้านเรา ต้องใช้การคำนวณจาก ราคาทองคำในตลาดโลก และอัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ)
“ทองคำ” เป็นสินค้าที่ได้รับการยอมรับทั่วโลก แม้แต่ในยามศึกสงครามภายในของแต่ละประเทศหรือระดับโลก การถือทองคำไว้มีค่ามากกว่าถือเงินตราสกุลต่างๆ
จีนและอินเดียก็มีวัฒนธรรมอันยาวนานที่จะซื้อทองคำสะสมไว้ จนกระทั่งปัจจุบันก็ยังคงมีวัฒนธรรมดังกล่าวอยู่ รวมถึงแบงก์ชาติต่างๆทั่วโลกก็ถือทองคำไว้เป็นส่วนหนึ่งของเงินสำรองระหว่างประเทศ ทองคำ ถือเป็นสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงน้อย
-มั่นใจราคาไต่ถึง 3หมื่นบาท
นายอภิชาต มองว่ามีความเป็นไปได้ที่ราคาทองคำ 1 บาทจะไต่ระดับขึ้นไปถึง 30,000 บาทในระยะ 1-2 ปีนับจากนี้ไป มีเหตุผลหลายอย่างที่สนับสนุนราคาทองคำสูงขึ้นอย่างน้อย เหตุผลไล่ตั้งแต่
1. อัตราดอกเบี้ยในตลาดทั่วโลกมีอัตราที่ต่ำมาก ในบางประเทศ การฝากเงินมีอัตราดอกเบี้ยติดลบตัวอย่างเช่น ธนาคารในประเทศ สวิตเซอร์แลนด์ และเดนมาร์ก นักลงทุนจึงต้องหาแหล่งตอบแทนการลงทุนที่ดีกว่าอัตราดอกเบี้ย แต่มีความเสี่ยงที่ยอมรับได้ ปัจจุบันการลงทุนในตลาดหุ้นก็ค่อนข้างเสี่ยงเกินไป ในภาวะที่เศรษฐกิจทั่วโลกตกต่ำ จากการระบาดของไวรัสโดวิด-19 และ ความขัดแย้งทางการค้าระหว่างจีนและสหรัฐอเมริกา
กราฟ:ผลตอบแทนจากการลงทุนในสินทรัพย์ต่างๆในรอบ 20 ปีที่ผ่านมา
กราฟ: US Federal Fund Rate (ณ วันที่ 12 มิถุนายน 2563 อยู่ที่อัตรา .08%)
2. สหรัฐอเมริกามีหนี้สินที่มากมายในปัจจุบัน และความต้องการเงินดอลลาร์สหรัฐฯเพื่อใช้ในการแลกเปลี่ยนสินค้าหลักๆของโลก เช่น น้ำมัน ก็เริ่มมีการเปลี่ยนแปลง เช่น จีนมีการซื้อน้ำมันจากประเทศคู่ค้าโดยใช้สกุลเงินหยวนในการซื้อขาย
ดังนั้นความต้องการและการถือครองเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐ ค่อนค้างมีความเสี่ยงในระยะยาวที่จะด้อยค่าลง ทำให้การถือครองทองคำก็น่าจะเป็นทางเลือกหนึ่งที่ลดความเสี่ยงลงได้
“ในมุมมองผม ทองคำก็เปรียบเสมือนค่าเงินหนึ่งสกุล ซึ่งทุกประเทศยอมรับ และแบงค์ชาติส่วนใหญ่ของทั้งโลกก็ถือทองคำเป็นส่วนหนึ่งของเงินสำรองระหว่างประเทศ”
กราฟ:หนี้สินของรัฐบาลสหรัฐอเมริกา (หน่วย: ล้านดอลลาร์สหรัฐ)
3. แบงค์ชาติของทั้งโลก และประเทศหลักๆ เช่น จีน อินเดีย และรัสเซีย ก็เริ่มสะสมทองคำเพิ่มมากขึ้นในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา
กราฟ:การถือครองทองคำของแบงค์ชาติทั่วโลก
กราฟ:การถือครองทองคำของแบงค์ชาติ จีน อินเดีย และ รัสเซีย
4. ความเสี่ยงที่จะเกิดสงครามหรือความไม่สงบในระดับโลกก็เริ่มมีมากขึ้น ตัวอย่าง เช่น การเกิดสงครามในกัมพูชาเมื่อหลายสิบปีก่อน ค่าเงินของกัมพูชาไม่มีความหมายในขณะนั้น ทองคำเท่านั้นที่รักษามูลค่าและสามารถแลกเปลี่ยนเป็นสกุลเงินอื่นๆหรือสินค้าและบริการต่างๆได้
5. ต้นทุนการขายทองคำ (Cost of sale) อยู่ที่ประมาณ 1,000 – 1,100 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ เมื่อเปรียบเทียบกับราคา ณ วันที่ 15 มิถุนายน 2563 ที่ 1,710.45 USD/Ounce (London Fix Price, PM) ก็ไม่ได้สูงกว่าต้นทุนมากนัก ก็มีโอกาสที่ราคาทองคำจะอยู่สูงกว่าต้นทุนประมาณ 100 % ที่ราคา 2,000 - 2,200 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อออนซ์ ก็เป็นไปได้ ราคาสินค้าโภคพันธ์หลักๆในโลกนี้ที่จะมีราคาขายมากกว่าต้นทุนการผลิตถึง 100% มีให้เห็นบ่อย
ตัวอย่างเช่น ราคาน้ำมันที่เคยขึ้นไปมากกว่า 100 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาเรล ก็มีให้เห็นหลายรอบในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ในขณะที่ต้นทุนการผลิตเฉลี่ยทั้งโลกไม่เกิน 50 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อบาเรล
โดยสรุปแล้วเป็นเรื่องของความเชื่อมั่นในการถือครองทองคำ ที่สามารถรักษามูลค่าของตนเองไว้ และเพิ่มมูลค่าอย่างต่อเนื่องใน 50 ปีที่ผ่านมา และในปัจจุบันสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ก็จะมีความน่าเชื่อถือน้อยลง การลงทุนในสินทรัพย์อื่นๆก็มีความเสี่ยงมากขึ้น การฝากเงินในธนาคารก็ได้ดอกเบี้ยที่น้อยมาก น่าจะเป็นจุดที่ราคาทองคำ จะไปได้ไกลจนถึง 30,000 บาทต่อหนึ่งบาททองคำ (คิดที่อัตราแลกเปลี่ยน 31.00 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ) ภายในอีก 1-2 ปีข้างหน้านี้