จิตปาฏิหาริย์

17 มิ.ย. 2563 | 20:00 น.

ทำมา..ธรรมะ โดย ราช รามัญ

“จิตปาฏิหาริย์”

..........................................

     จะว่ากันไป เรื่องราวของความเป็นปาฏิหาริย์นั้น ผู้คนชื่นชอบและให้ความสนใจมากกว่าสิ่งที่เรียกว่า หลักธรรมความจริง ในครั้งพุทธกาลเรื่องราวปาฏิหาริย์ที่โดดเด่นและกล่าวขานกันมา คือ บาตรไม้

     เรื่องมีอยู่ว่า พระออกไปบิณฑบาต แล้วมีกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งเอาบาตรไปวางไว้ที่บนยอดไม้สูง แล้วกล่าวคำท้าทายว่า

     “ถ้าพระสงฆ์ในพุทธศาสนาเก่ง ต้องมีฤทธิ์ ถ้ามีฤทธิ์จริงจงเหาะขึ้นไปเอาบาตรใบนั้นลงมาแล้วเราจะเชื่อถือศรัทธาและชักชวนผู้คนมาถวายอาหารคาวหวาน”

     ตลอดทั้งดูถูกต่างๆนานา พระรูปหนึ่งทนไม่ไหวจึงเข้าสมาธิแล้วค่อยๆเหาะขึ้นไปลอยขึ้นไปในแนวตรง90องศาไปเอาบาตรลงมาจากบนยอดไม้นั้น ผู้คนเขาจึงเชื่อว่าพุทธศาสนาศักดิ์สิทธิ์จริง จึงต่างพากันถวายอาหารและพูดกล่าวยกย่องพุทธศาสนา

     ครั้งพระทั้งสองรูปนำความไปกราบทูลพระพุทธเจ้า ทรงแนะให้นำเอาบาตรใบนั้นไปทำลายเสีย และสั่งห้ามไม่ให้ภิกษุกระทำการแสดงฤทธิ์ใดๆทั้งสิ้น

     ดังนั้นพระแท้ พระดี ต้องไม่แสดงอวดอ้างว่าตนมีฤทธิ์เดชใดๆ พระแท้พระดีจะต้องสำรวม ที่สำคัญไม่นำเอาเรื่องราวปาฏิหาริย์นั้นมาเป็นสรณกับการดำรงตนในพรหมจรรย์ภายใต้เงื่อนไขพระธรรมวินัยที่พระพุทธเจ้าทรงวางไว้

     จะเห็นได้ว่าพระสงฆ์ในปัจจุบันกระทำตนอวดอ้างเรื่องอิทธิปาฏิหาริย์ก็มีอยู่มาก คณะสงฆ์ก็ยังนิ่งเฉยกับวัดวาอารามที่อวดอ้างสรรพคุณราวเหมือนกับปล่อยทิ้งไม่ดูแลใดๆ

     บางวัดหนักเข้าไปอีก เล่นสร้างรูปเทพเจ้ามากมายให้กราบไหว้ ซึ่งก็ไม่เข้าใจว่าปล่อยเอาไว้เพื่ออะไร แล้ว มีจุดยืนเกี่ยวกับการเผยแผ่ศาสนาอย่างไรกันแน่ พระบางรูปถึงขนาดกับเอาหัวฤาษีมาทำพิธีแล้วเอามาถือคอยสวมให้ญาติโยมแล้วอ้างว่า นี่คือพิธีไหว้ครู พิธีกรรมแบบนี้แม้จะนอกพุทธศาสนาหากฆราวาสธรรมก็พอรับได้แต่ทว่าพระสงฆ์มาพึงกระทำเอง ดูเหมือนว่านี่มันออกนอกกรอบมากเกินไป

     เราท่านทั้งหลายเองก็ควรเข้าใจว่า ศาสนาพุทธไม่ควรมีรูปเคารพเทพต่างๆแบบนั้นอยู่ในเขตอารามใดๆ แม้จะอ้างว่าเทพนั้นศักดิ์สิทธิ์อะไรก็ตามเพราะพระพุทธเจ้าทรงให้งดเว้นในความเชื่อและการกระทำแบบนั้น ดังนั้นวัดไหนไม่ศักดิ์สิทธิ์ ไม่มีอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์จงเข้าวัดนั้นกันเถอะเพราะนั่น คือ วัดและพระแท้ตามที่พระพุทธเจ้าสอนเอาไว้ทุกประการ