ดีใจ...แต่อย่าได้ใจ โควิดแสบยังอยู่

30 พ.ค. 2563 | 01:37 น.

 

คอลัมน์ : Let  Me Think
โดย      :งามตา สืบเชื้อวงค์

พิษไวรัสโควิด-19 ปล่อยเชื้อวูบเดียวแพร่ระบาดไปทั่วโลก ทำเอาอุตสาหกรรมส่วนใหญ่ต้องออกมาประกาศหยุดสายพานการผลิตกันถ้วนหน้า  โดยเฉพาะอุตสาหกรรมยานยนต์ หนึ่งในอุตสาหกรรมที่เป็นความหวังของประเทศในการปลุกเศรษฐกิจไทย กลายเป็นกลุ่มแรกๆที่สังเวยพิษโควิด-19 จนรวนไปทั้งระบบ 

 

นับตั้งแต่ค่ายชิ้นส่วนยานยนต์ออกมาทยอยประกาศส่งสัญญาณเตือนภายในองค์กรแบบเงียบๆ ถึงการลดวันทำงาน  ไม่มีโอที  จนไปถึงการหยุดผลิตชั่วคราว  หลังจากที่คู่ค้าอย่างค่ายรถทุกค่ายเรียงแถวออกมาประกาศผ่านสื่อชัดเจนถึงทามไลน์ในการหยุดการผลิตชั่วคราวลงตามมาติดๆ

 

ล่าสุดหลายคนมองว่าเริ่มมีข่าวดีพาให้ชื่นใจ  ทันทีที่รัฐบาลออกมาประกาศมาตรการคลายล็อกดาวน์บางพื้นที่ บางประเภทกิจการ ทำให้ภาคธุรกิจเริ่มผ่อนคลายและมีความหวังว่าเศรษฐกิจจะกลับมาขยับตัวได้ในเร็ววัน  และแรงงานบางส่วนน่าจะกลับสู่รั้วโรงงานได้แล้ว

 

 สอดคล้องกับสัญญาณบวกที่เริ่มมองเห็นจากค่ายรถบางค่ายออกมาประกาศ 1 มิถุนายนนี้จะกลับมาผลิตหลังจากที่หยุดไปชั่วคราว จะกลับมาเดินการผลิตพร้อมกับเร่งเครื่องปรับแผนธุรกิจ  เช่นเดียวกับอีกข่าวดีในท่ามกลางวิกฤตินี้ เมื่อล่าสุดค่าย “นิสสัน”ยกบทบาทให้ไทยเป็นฐานการผลิตแห่งเดียวในอาเซียน  โดยนิสสัน มอเตอร์ ประเทศญี่ปุ่น ออกมาประกาศโครมใหญ่ถึงแผนธุรกิจระยะ 4 ปี เพื่อสร้างการเติบโตที่ยั่งยืน อย่างมีเสถียรภาพทุกด้าน ภายในสิ้นปีงบประมาณปี พ.ศ. 2566 พร้อมปรับยุทธศาสตร์ฐานการผลิตในหลายภูมิภาค เตรียมปิดโรงงานที่บาร์เซโลน่า ประเทศสเปน และอินโดนีเซีย และหันมาเพิ่มบทบาทโรงงานในประเทศไทย ให้เป็นฐานการผลิตสำคัญของภูมิภาคนี้ 

 

ภายใต้ข่าวดีเหล่านี้ อย่าเพิ่งดีใจ เพราะจากบทเรียนของหลายประเทศที่ออกมาคลายล็อกดาวน์พื้นที่ต่างๆ สุดท้ายต้องกลับไปเข้มงวดอีก เมื่อเกิดการระบาดรอบใหม่ จากเหตุผลตรงนี้เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ภาคธุรกิจหลายกลุ่มยังไม่วางใจ ยังไม่เกิดความเชื่อมั่น เพราะ 1 โรงงาน จะประกอบด้วยแรงงานนับร้อยนับพันคน ถ้าติดโควิดในโรงงาน 1 คน  อะไรจะเกิดขึ้น  นอกจากโรงงานต้องหยุดยาวเพราะเกิดการแพร่ระบาดแล้ว ผลที่ตามมาอีกคือเรื่องความเชื่อมั่นต่อคู่ค้าและความเชื่อมั่นต่อลูกค้า  ภาพลักษณ์ที่ทำมาตลอดเส้นทางเดินธุรกิจอาจจะพังราบเป็นหน้ากลองได้ และกว่าจะเรียกทุกสิ่งอย่างกลับมาให้เหมือนเดิมได้ต้องใช้เวลาอีกนานแค่ไหน

 

นอกจากนี้ยังมีการคาดการณ์ต่อล่วงหน้าว่า หากไตรมาส 3-4 ไวรัสโควิด-19 ยังไม่คลี่คลายลง  สถานะการจ้างงานของหลายธุรกิจจากที่ล่าสุดส่วนใหญ่ยังคงให้หยุดงานและจ่ายเงินพนักงานที่ 75%  ตาม ม.75 และเบิกประกันสังคม 62% หากยืดเยื้อต่อไปอีกอาจจะต้องจ่ายเพียง 50% และมีการปลดพนักงานหรือขอให้ลาออกเป็นลำดับถัดไป  ขณะเดียวกันผู้ประกอบการบางรายก็ออกมาคาดการณ์กันว่ายังต้องใช้เวลาเป็นปีกว่าจะคืนกลับสู่ภาวะปกติได้ในบางธุรกิจ  

 

วิกฤติโควิด-19 รุนแรงนัก แทบจะล้างโลก ทุกฐานการผลิตติดหล่มพร้อมกันหมดปิดวงจรเศรษฐกิจ เป้าหมายรายได้ธุรกิจที่ตั้งไว้ต้องล้มกระดานใหม่หมด โดยเฉพาะอุตสาหกรรมรถยนต์ที่ปี 2563 ต่างตั้งเป้าว่าในประเทศจะมีการผลิตรถยนต์ได้ราว 2 ล้านคัน โดยวงการยานยนต์ประเมินกันว่าถ้าการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19  ยืดเยื้อไปถึงปลายปีกำลังผลิตรวมน่าจะหล่นลงมาอยู่ที่ 1.4-1.5 ล้านคัน(รวมส่งออกและขายในประเทศ) ยอดคำสั่งซื้อร่วงลงมาที่ 30%-50% และยังต้องลุ้นอีกว่าครึ่งปีแรกของปี 2564 ภาพรวมอุตสาหกรรมนี้ทั้งระบบจะฟื้นตัวได้หรือยัง  เหล่านี้ยังเป็นคำถาม

 

อย่างไรก็ตามการคลายล็อกดาวน์เร็ว ถือเป็นเรื่องดี แสดงว่าเศรษฐกิจจะเริ่มขับเคลื่อนได้ ขณะเดียวกันประชาชนทุกภาคส่วน ต้องไม่ลืมว่า โควิด-19 ยังอยู่ยังไม่หายไปไหน  วัคซีนยังไม่ปรากฏผล  ดังนั้นในความ “ดีใจ” ถือเป็นนิมิตหมายที่ดี  แต่จะต้อง “เพิ่มความระวัง”ให้มากยิ่งกว่าเดิม เพราะเวลานี้ในพื้นที่สาธารณะบางแห่งเริ่มพบหลายจุดการควบคุมตัวเองเริ่มลดระดับลงแล้ว