ขอบคุณรัฐบาล ขอบคุณประเทศไทย

05 พ.ค. 2563 | 13:20 น.

คอลัมน์ข้าพระบาท ทาสประชาชน ฐานเศรษฐกิจ ฉบับ 3572 หน้า 6 ระหว่างวันที่ 7-9 พ.ค.63 โดย... ประพันธุ์ คูณมี

 

 

          หลังจากประชาชนทั้งประเทศ ต้องตกอยู่ภายใต้วิกฤติ อันเนื่องจากการระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2519 หรือโควิด-19 จนทุกคนทุกครัวเรือน จำต้องปฏิบัติตามมาตรการของรัฐ เพื่อการควบคุมและป้องกันโรคระบาดร้ายแรงดังกล่าว ด้วยการ "อยู่บ้าน หยุดเชื้อ เพื่อชาติ" หยุดการเดินทาง ปิดสถานบริการ ร้านค้า ร้านอาหาร ห้างสรรพสินค้า โรงภาพยนต์ สนามมวย สนามกีฬา ปิดสถานที่ท่องเที่ยว

          แม้กระทั่งต้องปิดเมือง และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์และเจ้าหน้าที่สาธารณสุข เพื่อการควบคุมโรคป้องกันการระบาดของเชื้อไวรัส ด้วยความสามัคคีพร้อมเพรียงกันทั่วประเทศ ตั้งแต่วันที่ 26 มีนาคม 2563 จนถึงปัจจุบัน เป็นเวลาเดือนเศษ เหตุการณ์วิกฤติโควิด-19 จึงได้เริ่มคลี่คลายไปในทางที่ดีขึ้นโดยลำดับ จนมาถึงช่วงเวลาที่รัฐบาลเริ่มผ่อนคลายมาตรการ เพื่อกลับสู่วิถีชีวิตปกติภายใต้สถานการณ์ใหม่

          สถานการณ์ ณ วันที่ 6 พฤษภาคม 2563 ประเทศไทยมียอดผู้ติดเชื้อสะสม 2,988 คน มีผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นเพียง 1 คน รักษาหายแล้วถึง 2,747 คน ยังคงรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลเพียง 187 คน และมีผู้เสียชีวิตทั้งสิ้น 54 คน จากความมีวินัยและความร่วมมือกันของคนไทยทั้งชาติ ผลที่ปรากฎถือได้ว่าประเทศไทยประสบความสำเร็จอย่างดียิ่ง ในการรับมือกับปัญหาวิกฤตโควิด-19 ในครั้งนี้

          จนได้รับความชื่นชมและเป็นที่ยอมรับจากนานาประเทศทั่วโลก รวมถึงองค์การอนามัยโลก ของสหประชาชาติก็ชื่นชมในความสามารถของรัฐบาลไทย คณะแพทย์และเจ้าหน้าที่สาธารณสุขของไทย ในการรับมือกับภัยโควิดในครั้งนี้ ล้วนแต่ยกย่องและถือเอาไทยเป็นแบบอย่างที่ดี

          จากตัวเลขและสถิติของผู้ป่วย ผู้ติดเชื้อ ผู้ที่รักษาหาย และจำนวนผู้เสียชีวิตดังกล่าว ย่อมสะท้อนให้เห็นถึงประสิทธิภาพในการบริหาร และการจัดการรับมือกับปัญหาวิกฤติร้ายแรงของรัฐบาล ที่นำโดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้เป็นอย่างดี รวมถึงแสดงให้เห็นถึงภาวะความเป็นผู้นำในภาวะวิกฤติ ซึ่งปรากฎผลสำรวจล่าสุดว่า ประชาชนพึงพอใจและเชื่อมั่นต่อความเป็นผู้นำของนายกฯ สูงถึง 84.2 % ถือเป็นความนิยมสูงสุดที่ประชาชนมีต่อรัฐบาล นับแต่หลังการเลือกตั้งและมีการจัดตั้งรัฐบาลเป็นต้นมา

          ความสำเร็จในการต่อสู้และเอาชนะวิกฤติจากภัยโควิด-19 ครั้งนี้ ต้องถือเป็นชัยชนะร่วมกันของรัฐบาลและประชาชนไทยทุกคน เพราะหากปราศจากความสามัคคี ความร่วมมือกันของภาครัฐและภาคประชาชน ดังกล่าวแล้ว คงยากที่ประเทศไทยจะผ่านพ้นวิกฤติมาได้ร่วมกัน

          การที่ประเทศไทยของเรา สามารถเอาชนะวิกฤติโควิด-19 มาได้ด้วยความร่วมมือระหว่างรัฐกับประชาชนดังกล่าวแล้ว สิ่งหนึ่งอันเป็นปัจจัยสำคัญแห่งความสำเร็จในครั้งนี้คือ ความเข้มแข็งของระบบการแพทย์ และการสาธารณสุขของไทย โดยเฉพาะความรู้ความสามารถในระดับโลกของคณะแพทย์ไทย บุคคลากรทางด้านสาธารณสุข และอาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน หรือ อสม.ของไทย ซึ่งความเข้มแข็งและความสามารถของแพทย์ไทยดังกล่าว แยกไม่ออกจากความสนพระทัยของสถาบันพระมหากษัตริย์ไทย ที่พระมหากษัตริย์ทุกพระองค์ ทรงทุ่มเทเสียสละและใส่พระทัยต่อการสร้างและพัฒนาสถาบันทางการแพทย์ของไทย เพื่อผลิตบุคคลากรทางการแพทย์ให้เพียงพอต่อการดูแลประชาชน การสนับสนุนส่งเสริมให้มีการสร้างโรงพยาบาล สถานีอนามัยให้ทั่วถึง

          รวมทั้งการพระราชทานทุนการศึกษาแก่นักเรียนแพทย์ พยาบาล และบุคคลากรทางการแพทย์ เพื่อไปศึกษาหาความรู้ในทั่วโลก เพื่อนำความรู้มาพัฒนาให้วงการแพทย์ไทย มีความก้าวหน้าและพัฒนาดังที่เห็นและเป็นอยู่ในปัจจุบัน ทำให้วงการแพทย์ไทยต่างเป็นที่ยอมรับในนานาชาติ จวบจนถึงในรัชสมัยของพระมหากษัตริย์ รัชกาลที่ 10 พระองค์ทรงสนพระทัยและใส่ใจต่อปัญหาวิกฤติโควิด-19 ครั้งนี้เป็นอย่างยิ่ง

          โดยได้ติดตามปัญหาและการทำงานของรัฐบาลโดยใก้ลชิด ได้พระราชทานพระราชดำรัสแก่นายกรัฐมนตรี เพื่อพระราชทานแนวทางแก้ไขปัญหา รวมถึงการพระราชทานเครื่องมือและอุปกรณ์ที่จำเป็นซึ่งขาดแคลน หาซื้อยากมอบให้รัฐบาล โรงพยาบาล เพื่อนำไปใช้เพื่อช่วยราษฎรและผู้เจ็บป่วย โดยตลอด

          จึงกล่าวได้ว่า เพราะพระบารมีปกเกล้าปกกระหม่อม และเพราะประเทศไทยมีสถาบันพระมหากษัตริย์ ที่ทรงห่วงใยและไม่เคยทอดทิ้งประชาชนนี่เอง จึงทำให้ ทุกวิกฤติที่เกิดขึ้นและผ่านมา ประเทศไทยจึงรอดพ้นจากปัญหาทั้งปวงมาได้ด้วยดี

          จากปัญหาวิกฤติโควิด-19 ซึ่งเป็นวิกฤติของโลกและวิกฤติประเทศครั้งนี้ ได้เป็นบททดสอบภาวะความเป็นผู้นำของแต่ละประเทศเป็นอย่างดี ทั้งยังเป็นบททดสอบระบอบการปกครองประเทศ วัฒนธรรม และวิถีชีวิตของคนในชาตินั้นๆเป็นอย่างดีว่า ท้ายที่สุดแล้วผู้นำประเทศแบบไหนที่พาชาติรอด ระบอบปกครองอย่างไรที่สามารถรับมือวิกฤติร้ายแรงได้ วัฒนธรรมและวิถีชีวิตแบบไหน ที่สามารถสร้างความสุขแก่ผู้คนในสังคมได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน

          ถึงวันนี้ผมเชื่อว่าคนไทยส่วนใหญ่ คงมีคำตอบกับตนเองแล้ว ถึงวันนี้และผ่านเหตุการณ์นี้มาได้ เราต้อง ขอบคุณสวรรค์และเทวดาฟ้าดิน ที่ให้ได้เกิดมาเป็นคนไทย ขอบคุณที่ได้เกิดเติบโตและมีชีวิตอยู่ในประเทศไทย

          การที่บ้านเมืองกำลังก้าวพ้นวิกฤติมาได้ด้วยดีโดยลำดับ คนทั่วโลกชื่นชม คนส่วนใหญ่ในชาติยินดีพอใจ และชื่นชมยกย่องรัฐบาล แต่ก็ยังมีคนส่วนน้อยโจมตีรัฐบาล ร้องแรกแหกกะเฌอ ถวิลหาระบอบการปกครองอื่นๆ จึงอยากจะบอกคนเหล่านั้นว่า ระบอบการเมือง การปกครองแบบไหนก็ไม่สำคัญ ขอเพียงแต่ระบอบการเมืองและการปกครองนั้น ทำให้ประเทศชาติบ้านเมืองอยู่รอดปลอดภัย ผ่านพ้นวิกฤติ นำความเจริญมาสู่ประเทศ ประชาชนเป็นสุข ก็ถือเป็นระบอบที่ดีที่สุดแล้ว

          เมื่อบ้านเมืองก้าวพ้นวิกฤติมาได้เช่นนี้ ต้องขอบคุณรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และผู้เกี่ยวข้องทุกท่านครับ ขอบคุณพี่น้องประชาชนชาวไทยทุกคน ที่ร่วมมือกันปฏิบัติตามมาตรการควบคุมโรค

          สำหรับคนไทยส่วนน้อยหยิบมือเดียว ที่ยังทำตนเป็นพวกมือไม่พายแต่เอาเท้าราน้ำ ไม่ว่ารัฐบาลจะทำดีอย่างไร พวกเขาก็ไม่มีวันชมเชยนั้น คงต้องปล่อยให้พวกเขาคลั่งไปเถอะครับ พวกบ้าและงมงายกับประชาธิปไตยจอมปลอมจำพวกนี้ ก็ขอให้พวกเขารีบไปที่สหรัฐอเมริกาได้เลย หากคุณต้องการประชาธิปไตย เพราะที่นั่นให้คุณได้ คือ "สิทธิ เสรีภาพ เสมอภาค ภาดรภาพ และมรณภาพ"