คดีโอ๊คฟอกเงิน 10 ล้าน ‘ของหวาน 200 กิโล’

29 เม.ย. 2563 | 05:00 น.

คอลัมน์ห้ามเขียน ฐานเศรษฐกิจ ฉบับ 3570 หน้า 20 ระหว่างวันที่ 30 เม.ย.-2 พ.ค.63 โดย... พรานบุญ

          ป่าคอนกรีตที่เผชิญโรคโควิด-19 ระบาด เงียบเป็นเป่าสาก เมื่อ “หมอไตร-นพ.ไตรยฤทธิ์ เตมหิวงศ์” อดีตรองผู้อำนวยการสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ที่ถูกดันก้นมานั่งเก้าอี้รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เมื่อ 1 ตุลาคม 2561 และปัจจุบันทำหน้าที่รักษาการอธิบดีดีเอสไอ มีหนังสือเห็นแย้งอัยการพิเศษที่มีคำสั่งไม่อุทธรณ์ในคดี “โอ๊ค-พานทองแท้ ชินวัตร” ฟอกเงินกู้ธนาคารกรุงไทย 10 ล้านบาท

          ดีเอสไอ จึงมีความเห็นให้ส่งอัยการสูงสุดเพื่อพิจารณาตามกฎหมายต่อไป และได้ส่งความเห็นพร้อมสำนวนการสอบสวนไปยังพนักงานอัยการแล้ว เมื่อวันที่ 24 เมษายน 2563

          คดีอาญาสะท้านปฐพี ในความผิดฐานร่วมกันฟอกเงิน และสมคบกันฟอกเงินที่เกี่ยวข้องกับคดีการทุจริตรายการปล่อยเงินกู้กลุ่มกฤษดามหานครของธนาคารกรุงไทย ซึ่งเป็นคดีพิเศษที่ 25/2560 และต่อมาศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ได้มีคำพิพากษายกฟ้องจำเลย คือนายพานทองแท้ และพนักงานอัยการมีคำสั่งไม่อุทธรณ์ จึงร้อนฉ่าไปทั้งศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะยันทำเนียบรัฐบาลอีกครั้ง

          ขาของ “พ่อโอ๊ค-พานทองแท้” ที่หลุดมาจากกรงขังนับตั้งแต่ศาลชั้นต้นคดีทุจริตกลางฯ ตัดสินยกฟ้องไปตั้งแต่วันที่ 25 พฤศจิกายน 2562 จึงยังถูกจองจำไปจนถึงวันที่ 25 พฤษภาคม 2563 ซึ่งเป็นการยืดเวลาการขออุทธรณ์ต่อศาลเป็นครั้งที่ 5

          ถือเป็นคดีที่ยืดเวลาอุทธรณ์ต่อศาลของ “อัยการ-ดีเอสไอ” นานที่สุด เท่าที่ “ทนายความของแผ่นดิน” เคยยื้อการตัดสินใจ!

          คดีพิสดารนี้ต้องมีอะไรในกอไผ่แน่นอน ถ้าไม่มีหน่อไม้ ก็ต้องมีไก่กุ๊กๆ!

          ก่อนหน้าพรานฯ พาทุกท่านไปท่องป่าพิสดารในกระทรวงยุติธรรม ที่มีคำสั่งแต่งตั้ง4 รองอธิบดี ดีเอสไอ 4 คน ประกอบด้วย นพ.ไตรยฤทธิ์ เตมหิวงศ์ พ.ต.ท.ปกรณ์ สุชีวกุล พ.ต.ท.สุภัทธ์ ธรรมธนารักษ์ และ พ.ต.อ.อัครพล บุณโยปัษฏัมภ์ สลับกันปฏิบัติหน้าที่ รักษาการอธิบดี ดีเอสไอ

          เรียกว่า ให้นักวิ่ง 4 คูณ 100 สลับกันวิ่งให้ดีที่สุด...555

          รูปแบบการบริหารแบบนี้เคยเกิดขึ้นในสมัยรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ มาแล้วครั้งหนึ่งในห้วง “สิรินุช พิศลยบุตร” เจอมรสุม จนฝ่ายการเมืองต้องแต่งตั้งรองอธิบดีกรมสรรพสามิต สลับกันเป็น “รักษาการอธิบดี คนละ 1 เดือน” ซึ่งท้ายที่สุดรองอธิบดีรักษาการอธิบดีทั้งหมด ไม่มีใครก้าวเป็นอธิบดีสรรพสามิตแม้แต่คนเดียว...555

          อะไรทำให้ คดีพ่อโอ๊คหัวแก้วหัวแหวนของ “บ้านจันทร์ส่องหล้า” ที่เข้าไปพัวพันกับเงินที่ไม่พึงจะได้ 10 ล้านบาท ต้องนำขาข้างหนึ่งไปเสี่ยงกับคุกตะรางจึงทอดยาวออกมานานขนาดนี้

          และทำไมการที่ “อัยการคดีพิเศษ” สั่งไม่อุทธรณ์คดีจึงทำได้ แต่ทำไมดีเอสไอจึงไม่กล้าตัดสินใจไม่อุทธรณ์ เหมือนที่หลายคนในบ้านตาดูดาวเท้าติดดิน พยายามที่จะผลักดันให้เป็น?

          อีเห็นบอกว่า เหตุปัจจโย มันมาจากคดีนี้เป็นคดีพิเศษที่ดีเอสไอไปร้องให้มีการดำเนินการสอบสวน พานทองแท้ กับพวก 2 ข้อหา คือ ข้อหารับของโจร และข้อหาฟอกเงิน คดีรับของโจรนั้นมีอายุความ 10 ปี และอัตราโทษไม่เกิน 5 ปี หมดอายุความแล้ว

          เหลือข้อหาฟอกเงิน ที่มีอายุความ 15 ปี อยู่ในมือของดีเอสไอ คดีนี้มีโทษไม่เกิน 10 ปี เมื่อดีเอสไอยกขึ้นมา ก็ต้องสู้ให้ถึงที่สุด แม้อัยการจะไม่อุทธรณ์ก็ช่างหัว...

          นังบ่างบอกว่า พูดกันให้แซ่ดว่า รอบที่แล้ว “ถุงขนมหล่นหลายสิบกิโล” รอบนี้มีเสียงกระซิบจากแดนไกลว่า ใครที่ดูแลหัวแก้วหัวแหวนของตระกูลได้ รับไปเลย “ของหวาน 200 กิโล” อะแฮ่ม!

          มือที่ทรงพลังฝั่งการเมือง จึงเอื้อมมาจะหาทางกินขนมอันหอมหวานยั่วยวนใจ ขณะที่มือฝ่ายปฏิบัตินั้นไม่มีใครกล้าลุยด้วย เพราะหน่วยงานตัวเองเป็น “ผู้ยกเรื่องมาสู้” แถมมีสปอร์ตไลต์ฉายวับมาจากทำเนียบรัฐบาลในคดีนี้อยู่ตลอดเวลา พลาดไปอาจโดนเชือด นี่จึงเป็นที่มาของการเปลี่ยนตัวผู้เล่นมาอย่างต่อเนื่องในเก้าอี้อธิบดี ดีเอสไอ

 

          พรานไปหาหมอดูมา หมอดูบอกว่า...คดีนี้ดีไม่ดีอาจมีใครเจอคุก เพราะเมื่อดีเอสไอเห็นแย้ง เผือกร้อนจะไปตกในมือของ “วงศ์สกุล กิตติพรหมวงศ์” อัยการสูงสุด คนแรกที่มาจากเก้าอี้ระดับอธิบดี ไม่ผ่านตำแหน่งผู้ตรวจการอัยการและรองอัยการสูงสุด มาก่อน “อัยการวงศ์” จะเป็นผู้สั่งชี้ขาดว่า จะอุทธรณ์หรือไม่...ไอ้หยา สงสาร ศิษย์เก่าดีเด่นของรามคำแหง...

          ถ้าอัยการวงศ์ชี้ขาดไม่อุทธรณ์เจอมรสุมในชีวิตหนักแน่ เพราะในคำตัดสินของศาลชั้นต้นนั้น องค์คณะผู้พิพากษา 2 ราย มีความเห็นแย้งกัน ฝ่ายหนึ่งเห็นว่าสมควรยกฟ้อง แต่ นางสาวศิริพร กาญจนสูตร ผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ผู้พิพากษาเจ้าของสำนวน เห็นว่าสมควรจำคุก 4 ปี ไม่รอลงอาญา จึงทำความเห็นแย้งไว้ตามมาตรา 183 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา

          พรานไปพบว่า ยันต์กันผีให้ดีเอสไอแข็งขืนไปยืนยันให้อัยการสูงสุดชี้ชะตานั้นอยู่ตรงนี้ ขอรับ...

          อยู่ตรงที่คำพิจารณาของผู้พิพากษาเจ้าของสำนวนที่ระบุว่า... “เงินที่นายวิชัย กฤษดาธานนท์ กับพวก ได้รับจากการอนุมัติสินเชื่อจากธนาคารกรุงไทย เป็นทรัพย์สินเกี่ยวกับการกระทำความผิดมูลฐาน ตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินฯ มาตรา 3 (4) (5) ซึ่งคณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษได้ตรวจสอบแผนผังเส้นทางการเงินแล้วพบว่า...

          “เงินที่จำเลยรับโอนมีเส้นทางการเงินจากธนาคารกรุงไทย ได้อนุมัติสินเชื่อให้แก่เครือกฤษดามหานคร จากนั้นได้สั่งจ่ายเช็คเข้าบัญชี บล.กิมเอ็งฯ 10.5 ล้านบาท เพื่อสั่งซื้อหุ้นวิสามัญเพิ่มทุนบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) ในนามของนายวิชัย ต่อมานายวิชัย ได้ขายหุ้นดังกล่าวได้รับเงิน ซึ่งหักค่าธรรมเนียมแล้ว 11,693,635 บาท เข้าบัญชีธนาคารไทยธนาคาร

          ต่อมาเมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม 2547 นายวิชัยจึงได้สั่งจ่ายเช็คธนาคารไทยธนาคาร จากบัญชีกระแสรายวัน 10 ล้านบาท ให้แก่จำเลย (พานทองแท้) เมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม 2547 จำเลยได้นำเช็คเข้าฝากบัญชีธนาคารกรุงเทพ และเมื่อตรวจสอบบัญชีของนายวิชัย ภายหลังมีเงินจากการขายหุ้นมาเข้าบัญชีดังกล่าวแล้ว ไม่มีเงินจำนวนอื่นเข้าบัญชีอีก...

          นอกจากนี้ อดีตเจ้าหน้าที่ธนาคารกรุงเทพ และเจ้าหน้าที่ดีเอสไอ ตรวจสอบเส้นทางเดินของเงินกรณีธนาคารกรุงไทย ปล่อยกู้สินเชื่อเครือกฤษดามหานครโดยทุจริต และตรวจสอบเงินจำนวน 10 ล้านบาท ที่จำเลย (โอ๊ค-พานทองแท้) รับโอนมา

          จากนายวิชัยแล้ว พบว่าเป็นเงินที่ได้จากการขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) ตามเส้นทางเงินที่มาจากการอนุมัติสินเชื่อโดยมิชอบ”…โป๊ะแตก!

          ของหวาน 200 กิโล แม้ยั่วยวนชวนให้ใจวาบหวิว นักการเมือง นักวิ่ง 4 คูณ 100 คนไหน จะกล้า ฝ่าด่านคดีที่สร้างมาตรฐานในแผ่นดินไทย...เพื่อปลดปล่อยนกน้อยให้พ้นกรงขัง?

          โปรดจับตาด้วยความระทึกในฤทัยกันในเร็วๆ นี้เถิดพี่น้อง...