มิสเตอร์ 30% มาแล้ว ลุงตู่ต้องดูเงินกู้โกวิด

11 เม.ย. 2563 | 03:15 น.

คอลัมน์ห้ามเขียน สำหรับออนไลน์ฐานเศรษฐกิจ  โดย... พรานบุญ

 

          กระจองงอง กระจองงอง เจ้าข้าเอร้ย!...

          อีเห็น ถือโทรโข่งประกาศก้องเสียงดังไปทั้งป่าใหญ่ที่หลับไหล เงียบเชียบ เรียบสงบ เพราะหวาดผวาโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ จะมาพรากชีวิตสิงสาราสัตว์

          อีเห็นกระจายข่าวว่า ...พระราชกำหนด (พ.ร.ก.) ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้ยืมเงินเพื่อเยียวยาดูแลผลกระทบที่เกิดขึ้นจากการแพร่ระบาดของไวรัสวายพันธ์ใหม่ (โควิด-19) วงเงิน 1 ล้านล้านบาท เพื่อนำมาใช้ดูแลเศรษฐกิจ 2 กรณี

          1.ดูแลเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบแบบฉุกเฉิน และแผนงานด้านสาธารณสุข วงเงิน 6 แสนล้านบาท ที่มีการแจกเงินใส่มือประชาชนที่เดือดร้อนแสนสาหัส                    

          2.แผนงานด้านฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม แผนพัฒนาเศรษฐกิจในระดับชุมชน รวมถึงแผนงานยกระดับโครงสร้างพื้นฐานประเทศ 4 แสนล้านบาท ฯลฯ

 

          ปรมาจารย์ด้านกฎหมายของประเทศ “มีชัย ฤชุพันธุ์” และคณะ รวมถึงสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ยังยกร่างพ.ร.ก.เพื่อเสนอต่อรัฐบาลลุงตู่-พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ยังไม่ทันเสร็จ...ดั๊นมีข่าวอื้ออึงกันในกลุ่มผู้ประกอบการนำเข้าเครื่องมือแพทย์และเวชภัณฑ์กันแล้วว่า....

          “มีกลุ่มขบวนการเชื้อชั่วไม่ยอมตาย สั่งลูกทีมเดินเกมจัดการตั้งโครงการเพื่อกินค่า “หัวคิว” ในการจัดการกันเรียบร้อยแล้ว”...

          กลุ่มเชื้อชั่วไม่ยอมตายกลุ่มนี้สั่งเรียกเงินหัวคิว 30% สำหรับแผนงานที่จะมีการตั้งเรื่องเพื่อใช้เงินกู้ในกระทรวง และระดับกรมที่กลุ่มตัวเองกำกับควบคุมดูแลอยู่ทุกรายการ...อัยหยาอาตือ!

          พรานฯ สะดุ้งตกใจแทบตกลงมาจากนั่งร้าน ที่สร้างขึ้นบนปางไม้เพื่อส่องสรรพสัตว์...เอร้ยมันมีจริงรึอีเห็น?

          อีเห็นบอกว่า มีจริง และเกิดขึ้นจริงแท้แน่นอน พ่อพรานฯ

          อีเห็นบอกว่า ก่อนหน้านี้มีนักธุรกิจรายหนึ่ง เสนอเรื่องขอนำเข้าเครื่องมือแพทย์และเวชภัณฑ์ทางการแพทย์มาใช้เพื่อตรวจ คัดกรอง และเป็นห้องปฏิบัติการในการตรวจเชื้อไวรัสโควิด-19 ในระดับจังหวัด ระดับอำเภอ ระดับตำบล เพื่อดูแลประชาชนที่มีความสุ่มเสี่ยงในการติดเชื้อโรค...

          ปรากฎว่า ผู้มีอำนาจในตอนนั้น บอกว่า แผนงานชุดนี้เป็นเรื่องใหญ่ ใช้งบประมาณเยอะ ต้องให้ลูกพี่ที่เป็นThe man Behind the sceen เป็นผู้ตัดสินใจ เพราะต้องมี “ค่าดำเนินการพิเศษ 30-35%” จะเดินต่อไปหรือไม่ ประเดี๋ยวจะประสานให้…

          แผนการดูแลสุขภาพประชาชนทั่วประเทศ จึงถูกพับไปในกลางเดือนมีนาคม 2563 เพราะนักธุรกิจกลุ่มนี้ ไม่ค่อยกินเส้นกับ “บิ๊ก-ผู้อยู่เบื้องหลัง” เท่าใดนัก

 

          อีเห็นบอกว่า เรื่องนี้ไม่รู้รัฐมนตรีรู้เรื่องหรือไม่?

          นักธุรกิจกลุ่มนี้คิดว่าโครงการนี้พับไปแล้ว แต่ที่ไหนได้ จู่ๆ โครงการเหมือนกันนี้ ถูกยกขึ้นมาเป็นแผนงานหลักของกระทรวงสาธารณะสุข จนสะดุ้งกันทั้งแถบ

          เมื่อจู่ๆ กระทรวงสาธารณสุข แถลงข่าวสถานการณ์ COVID-19 โดยได้เปิดเผยว่า ปัจจุบันประเทศไทยได้ตรวจคัดกรองประชาชนไปแล้ว ไม่ต่ำกว่า 71,860 ตัวอย่าง โดยในกรุงเทพมหานคร มีห้องปฏิบัติการตรวจโควิด-19 อยู่ 39 แห่ง ศักยภาพในการตรวจตัวอย่างอยู่ที่ 10,000 ตัวอย่างต่อวัน ส่วนที่ต่างจังหวัดมี 41 แห่ง ตรวจเชื้อได้ 10,000 ตัวอย่างต่อวัน

          ดังนั้น กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ร่วมกับกรมควบคุมโรค และหน่วยงานอื่น ๆ เตรียมจัดตั้งโครงการ "หนึ่งแล็บหนึ่งจังหวัด รายงานผล 24 ชั่วโมง" ขึ้นมา โดยตั้งเป้าหมายไว้ว่าจะติดตั้งให้ได้ 110 แห่ง เพื่อเพิ่มศักยภาพในการตรวจหาการแพร่เชื้อของโรคไวรัสโควิด-19

          เพราะตอนนี้ในประเทศไทยมีห้องปฏิบัติการที่ผ่านการรับรองแล้ว 80 แห่ง และกำลังจัดตั้งอยู่อีก 30 แห่ง

          เป้าหมายของกระทรวงสาธารณะสุข คือจะให้ 1 จังหวัด มีห้องปฏิบัติการนี้ อย่างน้อย 1 แห่ง จนครบ 110 แห่ง

          นอกจากเตรียมห้องปฏิบัติการแล้ว กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ได้รับมอบหมายให้เตรียมน้ำยาที่ใช้ในการตรวจให้เพียงพอด้วย และจะจัดทำระบบให้ห้องแล็บรายงานผลไปที่โรงพยาบาลโดยตรง เพื่อลดระยะเวลาการรอคอยผลการตรวจเชื้อ และเชื่อว่าหากทำกันดี ๆ ในอนาคตอาจรู้ผลการตรวจโรคภายในไม่เกิน 12 ชั่วโมง ซึ่งจะช่วยให้ควบคุมโรคได้ดีมากขึ้น

          โครงการดีๆ แบบนี้ควรที่หน่วยงานรัฐจะเสนอ และรัฐบาลไทยควรให้การสนับสนุนวงบประมาณเพื่อนำเครื่องมือมาตรวจสุขภาพของคนไทยอย่างยิ่ง

          อีเห็นบอกว่า กลุ่มนักธุรกิจที่นำเข้าเครื่องมือแพทย์บอกว่า ถ้ามีคนกลุ่มนี้เคยเรียกเงินหัวคิวจากกลุ่มตัวเองแล้ว จะทำอย่างไรไม่ให้ “มิสเตอร์ 30%” ไปทำมาหากินกับโครงการแบบนี้ได้ ใครช่วยตอบที

          พรานฯไม่รู้ แต่รัฐบาลลุงตู่ต้องไม่ปล่อยให้ “เชื้อชั่วไม่ยอมตาย” มากัดกินหัวคิวค่าดำเนินการพิเศษ 30-35% นะนายจ๋า!

          เงินกู้นั้นมาจากประชาชน ต้องมอบดาบให้คณะกรรมการกลั่นกรองโครงการ มี “ดาบ” ในการติดตามผล และควรมีคนนอก-ภาคีเครือข่ายต่อต้านการคอรัปชัน เข้าไปมีส่วนร่วม

          ติดดาบให้คณะกรรมการชุดนี้ ช่วยกันนำไป “ฟาดฟัน-กำราบ-ปราบกลุ่มเชื้อชั่วไม่ยอมตาย” ที่ชอบหากินกับงบประมาณแผ่นดิน!