“ผู้ให้..ไม่เคยลำบาก”

08 เม.ย. 2563 | 22:45 น.

คอลัมน์ ทำมา..ธรรมะ โดย ราช รามัญ

 

ทานัง หรือ การบริจาคทาน เป็นสิ่งที่พระพุทธเจ้าสอน เป็นสิ่งเราได้ยินมาแต่เล็กแต่น้อย โดยเฉพาะที่เขาสอนกันอย่างต่อเนื่องว่า  คนที่เป็นผู้ให้ทานแก่ผู้อื่นเกิดชาติหน้าใดฉันก็จะเป็นผู้ร่ำรวยด้วยเงิน

 

คนรุ่นใหม่บางคนอาจจะสงสัย..ว่ามันจริงเหรอ หรือเป็นเพียงแค่การพูดลอยๆเพื่อสร้างศรัทธา

 

เราลองมาคิดตามเล่นๆครับ...เราบอกบุญผ้าป่ากับคนพอมีเงินสักคน เขาจะไม่ค่อยถามอะไรมากมายเท่าไหร่ ใส่ซองเลยอย่างน้อย100บาทแน่ๆ แต่กับบางคนบางทีอาจจะไม่ใส่เลย แต่ถามเยอะมากอาทิถามว่า วัดไหน ใครเป็นประธาน ต่างๆนานา

 

นิสัยของการมักเป็นผู้ให้จากอดีตชาติมักที่จะแฝงติดตัวมาด้วย เขาจึงรวย พอใครชวนทำบุญไม่ถามมากทำเลย  แต่คนที่ไม่ค่อยได้ทำนี่จะถามเยอะเป็นพิเศษกว่าใครๆเลยทีเดียว

 

ในความลึกของการบริจาคทานนั้น มิได้หมายถึงจะต้องให้เงินเพียงอย่างเดียว ในความเป็นจริงในการให้เราให้อะไรก็ได้ แต่ในพระคัมภีร์ที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสถึงอานิสงส์แห่งทานก็มีชัดใน กินททสูตรที่2 พระไตรปิฎกไทย เล่มที่15 ดังนี้

 

ใครที่ให้อาหารเป็นทาน เรียกได้ว่า เป็นผู้ให้กำลัง

ใครที่ให้ผ้า เรียกได้ว่าเป็นผู้ให้วรรณะ

ใครที่ให้ยานพาหนะ เรียกได้ว่าเป็นผู้ให้ความสุข

ใครที่ให้โคมไฟ หลอดไฟ เรียกได้ว่าเป็นผู้ให้จักษุ

ใครที่ให้ที่พักอาศัยเรียกได้ว่าเป็นผู้ให้ทุกสิ่งทุกอย่าง

ผู้ที่ให้ธรรมสอนธรรม เรียกได้ว่าเป็นผู้ที่ให้อมฤตธรรม

ดังนั้นการให้จะให้อะไรก็ได้ ต่างก็มีอานิสงส์ที่แตกต่างกันออกไป

 

แต่เท่าที่อ่านและศึกษาจากในพุทธศาสนา การให้ทานด้วยเงินมีการไม่กล่าวถึง เพราะเนื่องจากว่า เงิน เป็นสิ่งที่อาบัติของพระ แต่ถ้าเราบริจาคเพื่อซื้อเครื่องมือแพทย์ หรือ บริจาคเพื่อช่วยผู้อื่น  อานิสงส์แห่งผลบุญนั้นย่อมอเนกอนันต์ ในช่วงโควิดแบบนี้ ใครที่ช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ด้วยการบริจาคย่อมได้อานิสงส์ใหญ่อย่างแท้จริง