ไดเมท พฤติกรรมส่อเจตนา

31 มี.ค. 2563 | 12:44 น.

คอลัมน์เมาธ์ทุกอำเภอ ฐานเศรษฐกิจ ฉบับ 3562 หน้า 13 ระหว่างวันที่ 2-4 เม.ย.63 By…เจ๊เม๊าธ์

 

 

 

               >> ผ่านไปแล้วค่า...ไตรมาสที่ 1/2563 ผ่านไปแบบชํ้าๆ หลังจากนี้ไปจนถึงกลางเดือนพฤษภาคมก็รอดู แล้วก็คงจะได้รู้กันว่า กำไรบริษัทไหนจะลดลงไปเท่าไหร่ หรือว่าบริษัทไหนจะขาดทุนแค่ไหน สิ่งที่

               >> เจ๊เมาธ์จะบอกก็คือว่า การคาดการณ์ GDP ที่อยู่ในระดับติดลบ 5.3% ของแบงก์ชาตินี่ ไม่ได้มาเล่น ๆ นะคะ หนักที่สุดก็จะเริ่มที่ไตรมาสที่ 1 ต่อด้วยไตรมาสที่ 2 นี่ละค่ะ เพราะฉะนั้นดัชนีหุ้นไทยจะหลุดระดับ 1,000 จุดหรือไม่ จุดวัดใจก็อยู่ในช่วง 45 วัน หลังจากนี้ไปนี่ละค่า...จับตาดูดี ๆ นะคะ

               >> หุ้นกลุ่มที่จะกดดัชนีหลุด 1,000 จุด ลงไปได้ก็คือ หุ้นกลุ่มปตท. (PTT) ที่ประกอบไปด้วย PTT, PTTEP, PTTGC, TOP, IRPC และ GPSC หุ้นกลุ่มนี้ทุกตัวเป็นหุ้นใหญ่ ที่มีปริมาณการซื้อขายสูงเป็นอันดับต้นๆ ของตลาดหุ้นไทยทั้งนั้น เริ่มต้นจากผลกระทบที่เกิดจากภาวะเศรษฐกิจตกตํ่าที่เกิดจาก COVID-19 เริ่มช่วงเดือนกุมภาพันธ์ ตามด้วยสงครามราคานํ้ามันที่เกิดขึ้นในช่วงต้นเดือนมีนาคม ซึ่งแน่นอนต้องส่งผลกระทบต่อรายได้และกำไรของหุ้นกลุ่ม ปตท. ทั้งกลุ่มอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้...ลองมาดูกันนะคะ เจ๊เมาธ์จะไล่เลียงให้ฟังเป็นรายตัวค่ะ

 

               >> เริ่มจากตัวแม่ PTT  มีรายได้มาจากการถือหุ้นในบริษัทลูก ซึ่งบริษัทลูกแทบทั้งหมดเป็นบริษัทที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจพลังงานและสินค้าปิโตรเคมี ดังนั้น เมื่อหนึ่งในมาตรการที่ทั่วโลกใช้ในการป้องกันและระงับการแพร่เชื้อ COVID-19 คือ การห้ามการเดินทางทั้งทางเครื่องบิน รถยนต์ และเรือ ซึ่งทำให้ปริมาณการใช้นํ้ามันเชื้อเพลิงทั่วโลกลดลงไปถึง 30% ในขณะที่สินค้าปิโตรเคมี ก็ประสบกับปัญหาราคาตกตํ่ามาตั้งแต่ปลายปีที่แล้วจนถึงปัจจุบัน และยังรวมไปถึงสงครามราคานํ้ามันดิบระหว่าง “ซาอุดีอาระเบียกับรัสเซีย” ที่ทำให้ราคานํ้ามันดิบตกตํ่าที่สุดในรอบ 18 ปี ซึ่งปัญหาทั้งหมดเหล่านี้ จะเข้ามากระจุกตัวอยู่ที่ PTT ในฐานะที่เป็นบริษัทแม่ และจะทำให้รายได้ในไตรมาสที่ 1/2563 ของ PTT ที่ได้รับมาจากบริษัทลูกลดลงไปมากอย่างมีนัยสำคัญ

               >> ในส่วนของ PTTEP ชื่อก็บอกอยู่แล้วว่า “สำรวจและผลิตปิโตรเลียม” ดังนั้น เมื่อเกิดสงครามราคานํ้ามันดิบระหว่าง “ซาอุดีอาระเบียกับรัสเซีย” บริษัทที่ซวยที่สุดเป็นรายแรกจึงหนีไม่พ้น PTTEP ซึ่งนั่นก็เป็นเพราะว่า พี่แกมีรายได้ผูกอยู่กับราคานํ้ามันดิบในตลาดโลก เมื่อสงครามราคานํ้ามันดิบทำให้ตกตํ่าลงมากกว่า 50% ก็ทำให้ PTTEP มีรายได้ที่ต้องปรับลดลงไปตามราคานํ้ามันดิบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

               >> มองมาทาง PTTGC กันบ้างนะคะ ในส่วนของ GC บริษัทนี้มีรายได้จาก 2 ทาง นั้นก็คือรายได้จากการผลิตและขายสินค้าปิโตรเคมีอยู่ถึง 70% ของรายได้หลัก ซึ่งปัจจุบันก็เป็นที่รู้ ๆ กันอยู่ว่า ราคาสินค้าในกลุ่มนี้ตกตํ่ามาตั้งแต่ช่วงปลายปี 2562 ดังนั้น รายได้ในส่วนนี้ก็คงไม่ต้องพูดถึงกันมาก และในส่วนรายได้อีก 30% ของ PTTGC เป็นรายได้ที่มาจากโรงกลั่นนํ้ามัน แต่โรงกลั่นก็ได้รับผลกระทบหลายอย่าง เช่น ในช่วงแรกของสงครามราคานํ้ามันดิบระหว่าง “ซาอุดีอาระเบียกับรัสเซีย” โรงกลั่นนํ้ามันก็จะประสบปัญหาขาดทุนจาก Stock นํ้ามันดิบที่มีราคาสูงมากกว่าราคานํ้ามันดิบในตลาดโลกที่ปรับลดลง ในขณะที่ภาวการณ์การป้องกันและระงับการแพร่เชื้อ COVID-19 ด้วยการห้ามการเดินทางทั้งทางเครื่องบิน รถยนต์ และเรือ ซึ่งมันก็ทำให้สินค้าของโรงกลั่น ซึ่งก็คือนํ้ามันเชื้อเพลิงขายไม่ออกจนมีรายได้ตํ่าลงเช่นกัน

               >> ในส่วนของ TOP ซึ่งทำธุรกิจโรงกลั่นนํ้ามันและถือหุ้นในบริษัทอื่น ในส่วนของธุรกิจโรงกลั่นนํ้ามันของ TOP ซึ่งเป็นธุรกิจหลักก็คงจะไม่มีอะไรแตกต่างไปจากโรงกลั่นของ PTTGC นั่นก็คือ ประสบปัญหาขาดทุนจาก Stock นํ้ามันดิบที่มีราคาสูงมากกว่าราคานํ้ามันในตลาดที่ปรับลดลงและการห้ามการเดินทางจนสินค้าของโรงกลั่นซึ่งก็คือนํ้ามันเชื้อเพลิงขายไม่ออก

               >> ส่วนของ IRPC มีโครงสร้างรายได้ จากปิโตรเลียม 67% ปิโตรเคมี 31% และอื่นๆ 2% เช่น โรงไฟฟ้า ท่าเรือ เชื้อเพลิง แต่ก็ไม่ได้ต่างไปจากที่เจ๊เมาธ์ได้เล่าให้ฟังไปแล้วว่า แต่ละธุรกิจมีปัญหาอย่างไรบ้าง ดังนั้น IRPC จึงอยู่ในภาวะที่ไม่ต่างไปจากบริษัทลูกรายอื่น ๆ ของ PTT ที่การส่งรายได้ให้บริษัทแม่ในไตรมาสที่ 1/2563 ก็คงจะต้องน้อยลงเช่นกัน

 

               >> สุดท้ายมาที่น้องเล็กอย่าง GPSC รายนี้เน้นหนักไปที่ธุรกิจพลังงานไฟฟ้า มีข้อดีอยู่ที่การสร้างโรงไฟฟ้าแต่ละโรงจะสร้างขึ้นภายหลังจากที่มีสัญญาการซื้อขายไฟเรียบร้อยแล้ว (PPA) ซึ่งเมื่อสร้างโรงไฟฟ้าแต่ละโรงได้สำเร็จ ก็สามารถขายไฟฟ้าในเชิงพาณิชย์ (COD) ได้ทันที

               >> การันตีเรื่องรายได้แน่นอนค่ะ

               >> เอาเป็นว่า ถ้าจะเทียบกันแล้วในบรรดาบริษัทลูกขนาดใหญ่ของ PTT ก็ดูเหมือนว่าจะมี GPSC แค่เพียงบริษัทเดียวนี้ละค่า ที่พอจะเรียกได้ว่าดูดีมีรายได้สวย นอกจากนั้นเจ๊เมาธ์บอกได้เลยว่า ลูก ๆ ของ PTT กำลังป่วยทุกรายนะคะ ส่วนรายไหนจะอยู่ห้องผู้ป่วยธรรมดา หรือการประชุมสามัญผู้ถือหุ้น ประจำปี 2563 ท่ามกลางโควิด-19 บริษัทจดทะเบียน (บจ.) ส่วนใหญ่เลื่อนประชุม ส่วนบริษัทที่ไม่เลื่อน ยังดื้อดันไปจัดที่บริษัท เจ๊เมาธ์คิดว่า มีความเสี่ยงที่ผู้ถือหุ้นจะติดโควิด-19 ได้นะคะ ถ้ามาตรการไม่ดีพอ ...เจ๊เมาธ์ แอบนั่งลุ้นอยู่ว่า บริษัท ไดเมทฯ (DIMET ) จะเลื่อนหรือไม่เลื่อน ....เพราะมีประเด็นเด็ดเผ็ดร้อน ไม่โปร่งใส ที่พฤติกรรมส่อเจตนา ตั้งแต่การขายหุ้นเฉพาะเจาะจงให้ “เฉลิมชัย มหากิจศิริ” ไฮโซดังเนสกาแฟ กับ “ยู้ หว่า แซ่ลี” นอมินี ใครเอ่ย ศาลมีคำสั่งคุ้มครอง ห้ามจดทะเบียนเพิ่มทุนให้ผู้ถือหุ้น 2 รายนี้แล้ว

               >> อีกพฤติกรรมที่ส่อเจตนา เจ๊เมาธ์ ผ่านการประชุมจีเอ็ม มานับ 100 บริษัท ไม่เคยเจอ ก็กำลังได้เจอกับ DIMET นี่แหละ เตรียมการอย่างดี เช่น ให้ผู้ถือหุ้นเตรียมคำถามใส่กระดาษ...อ้าว!!! ถ้าคำถามเจ๊เมาธ์ หรือคนอื่นๆ แทงใจเจ็บถูกซุกไม่ตอบคำถามล่ะ จบกัน ปิดประชุมไปง่ายๆ เลยนะคะ ปกติที่บจ.ทั่วบ้านทั่วเมืองทำกันก็คือ การลุกขึ้นถามท่านประธานที่ประชุมค่ะ ไม่ใช่เขียนใส่กระดาษ เป็นงานสัมมนานะคะ

               >> อีกเรื่องที่น่าหดหู่ ที่ DIMET เตรียมการไว้นะคะ จัดที่นั่งให้ผู้ถือหุ้นแค่ 50 ที่นั่งคะ ถ้าที่นั่งเต็ม ให้มอบฉันทะกรรมการอิสระ 1 คน (ผิดปกติอีกแล้วค่ะ ปกติ บจ.ทั่ว ๆ ไปมี ก.ก.อิสระ 3 คนนะคะ) ...อ้าวแล้วกันผู้ถือหุ้นที่เสี่ยงเอาชีวิตมาแลกกับโควิด มาประชุมด้วยตัวเอง มาแล้วไม่ได้ประชุม หรือคนที่มอบฉันทะมาแล้วจะมอบต่ออีกหรือคะ อย่างนี้ก็มีด้วย ที่ DIMET ที่นี่ที่เดียวค่ะ ฉะนั้นผู้ถือหุ้นที่จะไปดูพฤติกรรมส่อเจตนา มาค่ะ มากันเช้าๆ อย่าช้าเด็ดขาด

               >> เจ๊เมาธ์แอบได้ยินมาค่ะว่า ศาลปกครองเพิกถอนคำสั่งก.ล.ต. ที่สั่งลงโทษ “ชยันต์ อัคราทิตย์” อดีตผู้บริหาร บล.เอเชียเวลท์ฯ เป็นบุคลากรต้องห้ามในตลาดทุน 2 ปี เมื่อปี 2560 ผ่านมาแล้วกว่า 2 ปี “พี่ยันต์” เว้นวรรคตามคำสั่งก.ล.ต.ไปแล้วนะคะ กลับมาเป็นผู้บริหารในบล.คิงส์ฟอร์ดฯอีกครั้ง ...เอาล่ะค่ะ คดีพี่ยันต์ ผ่านไป เดือนเมษายนไปลุ้นคดีเดียวกันแต่เป็นของซูเปอร์มาร์เก็ตติ้ง คนดัง “ชญานี โปขันเงิน” นะคะ ซึ่งทั้ง 2 คน ต่อสู้กับก.ล.ต.มาพร้อม ๆ กันคะ

​​​​​​​