คอลัมน์: พื้นที่นี้....Exclusive
โดย:งามตา สืบเชื้อวงค์
ฟังคำต่อคำจาก ธนิต โสรัตน์ รองประธานสภานายจ้างผู้ประกอบการค้าและอุตสาหกรรมไทยให้สัมภาษณ์ “ฐานเศรษฐกิจ”ว่า ทั่วโลกยังไม่พ้นขีดอันตรายจากวิกฤติไวรัสโคโรนาหรือโควิด-19 ที่สร้างความปั่นป่วนอยู่ในเวลานี้ พร้อมฉายภาพปฎิกิริยาจากภาคการผลิตสินค้าอุตสาหกรรมและสถานะภาคบริการในประเทศไทย
-มองว่าจีนเริ่มคลี่คลายไปในทางบวก
แม้ว่าจีนซึ่งเป็นประเทศแรกที่มีประชากรเจ็บป่วยล้มตายจากไวรัสโคโรนาจำนวนมาก แต่ก็เริ่มมองเห็นสัญญาณชีพที่เป็นบวกปรากฏขึ้นแล้วในขณะที่อีกหลายประเทศยังมองไม่เห็นทิศทางพบยอดคนตายและคนได้รับการติดเชื้อมีสถิติสูงขึ้นเป็นรายวัน
ปัจจุบันจีนเป็นหนึ่งในคู่ค้าสำคัญของไทย และขณะนี้ถ้าดูจากสายการเดินเรือ จะพบว่าจีนเริ่มฟื้นมาได้ราว 40% แล้ว การเดินเรือไปกลับไทย-จีนจากภาวะปกติเคลื่อนไหวได้อาทิตย์ละ 4 ลำ ล่าสุดเริ่มขยับจาก 2 ลำเป็น 3 ลำ ส่วนญี่ปุ่น มาเลเซีย อาเซียน ยุโรป อเมริกา ยังปิดท่าเรือ ทำให้สินค้าที่วิ่งไปประเทศเหล่านี้ลดลง กำลังผลิตชะลอตัว ทำให้ผู้ผลิตยังมีการเดินการผลิตได้ไม่เต็มที่
-กำลังซื้อร่วงไทยประมาทไม่ได้
ย้อนกลับมามองประเทศไทยแม้เวลานี้ในภาคการผลิตยังไม่ได้ส่งสัญญาณเลิกจ้างมากนัก เพียงแต่จะมีบางบริษัท บางอุตสาหกรรมที่พึ่งพาการนำเข้าวัตถุดิบจากจีน อาจทำให้สต๊อกวัตถุดิบเริ่มมีปัญหาต้องชะลอการผลิตลง หรือบางบริษัทมีการชะลอการส่งมอบสินค้าเพราะระบบขนปิด และจะมีบางอุตสาหกรรมที่มีการปรับตัวเพื่อรับการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี ขณะที่บริษัทส่วนใหญ่ก็ยังไม่มีนโยบายรับคนใหม่เข้าทำงานในช่วงนี้
ธนิต โสรัตน์
“ถ้ามองภาพรวมทั้งหมดก็ยังประมาทไม่ได้สำหรับภาคการผลิตของไทยทั้งระบบ เพราะอย่าลืมว่ากำลังการบริโภคภายในประเทศก็ลดลงด้วย กำลังซื้อในประเทศหายไปจำนวนมาก หลังกรุงเทพฯและปริมณฑล มีประกาศปิดพื้นที่หรือล็อคดาวน์ในเขตกทม.และปริมณฑลและในอีกหลายจังหวัด นับแต่วันอาทิตย์ที่ 22 มีนาคม ผ่านมา การปิดห้างสรรพสินค้า ร้านขายอาหาร สถานบันเทิง ร้านเสริมสวย งานอีเว้นท์”
-ภาคบริการมีแรงงานนอกระบบมาก
งานในภาคบริการส่วนใหญ่เป็นแรงงานนอกระบบมีประมาณ 8.4 แสนคน เช่น หมอนวดแผนโบราณประมาณ 1.0 แสนคน ร้านเสริมสวยประมาณ 1.2 แสนแห่งมีแรงงาน 3.6 แสนคน, ร้านอาหารที่จดทะเบียนจำนวน 14,413 แห่งมีแรงงานประมาณ 2.16 แสนคนและแรงงานที่ทำงานอยู่ตามบูธร้านค้าย่อยในห้างสรรพสินค้าเป็นหลักแสนคน คาดว่าจะมีผู้ได้รับผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อมจากการแพร่ระบาดของไวรัสไม่น้อยกว่า 1.5 ล้านคนทำให้รัฐบาลต้องออกมาตรการช่วยเหลือเยียวยาอย่างเร่งด่วนอยู่ในขณะนี้
“การสั่งปิดสถานที่เสี่ยงแพร่ระบาดโรค ทำให้สถานประกอบการ สถานบริการห้างร้านต่างๆได้รับผลกระทบ เมื่อห้างสรรพสินค้าปิด สินค้าอุปโภคบริโภคบางชนิดขายไม่ได้ เช่น คนไม่ไปร้านทำผม ยาสระผมก็ขายไม่ได้ ปัญหาจะลากยาวไปถึงต่างจังหวัดอาจจะมากระทบต่อภาคการผลิตได้จึงต้องระวัง”
-วิกฤติรุมเร้า-คำสั่งซื้อร่วง
นายธนิตกล่าวอีกว่า ภาคการผลิตไทยไม่ได้เจอวิกฤติจากไวรัสโคโรนาเพียงอย่างเดียว เพราะก่อนหน้านี้ ก็รับศึกหนักหลายด้าน ทั้งปัญหาภัยแล้ง ผลกระทบจากเทรดวอร์จีน-อเมริกา และผลกระทบจากค่าเงิน และมาถูกซ้ำเติมโดยผลกระทบจากไวรัสโควิด-19 ทำให้คำสั่งซื้อลดลง ผู้ส่งออกจำนวนมากถูกชะลอการส่งมอบ
“หลายพื้นที่จะพบว่าความคึกคักของรถบรรทุกสินค้าและตู้คอนเทนเนอร์หายไป เช่นใน นิคมอุตสาหกรรมต่างๆ อย่าง นิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้เดิมจะมีรถเข้า-ออกปัจจุบันน้อยลง ผู้ประกอบการมีสต๊อกสินค้ามากขึ้นขณะที่ชั่วโมงการทำงานไม่เต็มกะและลดลงกำลังการผลิตอุตสาหกรรมอยู่ประมาณ 64 – 65 % เหล่านี้คือเหตุการณ์ที่ที่มาจากปัจจัยลบที่เกิดขึ้นทั้งหมด”
นอกจากนี้สิ่งที่เห็นได้ชัดเจนคือบรรยากาศในสถานีบรรจุและแยกสินค้ากล่องลาดกระบังหรือ ไอซีดี ลาดกระบัง ( Inland Container Depot : ICD)ที่จะไปยังแหลมฉบังจังหวัด ชลบุรี และนำสินค้านำเข้าจากแหลมฉบังมาไว้ยัง ICD ลาดกระบังเพื่อกระจายต่อไปทั่วประเทศ หรือเรียกว่า”ท่าเรือบก”เป็นศูนย์เปลี่ยนถ่ายประเภทขนส่งจากรถไฟไปยังรถบรรทุกและจากรถบรรทุกไปยังรถไฟ เป็นศูนย์ขนาดใหญ่ ที่บรรยากาศในขณะนี้ไม่คึกคักเหมือนก่อน นับตั้งแต่ที่ไทยเริ่มเผชิญผลกระทบจากสงครามการค้าจีน-อเมริกาลากยาวมาถึงการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา
“ตามปกติไอซีดี ลาดกระบัง จะมีการเคลื่อนไหวเข้าออกของตู้คอนเทนเนอร์ และการวิ่งเข้าออกของรถเทรเลอร์ ซึ่งมีทั้งตู้เปล่าและตู้นำเข้าที่มีสินค้าเต็ม จนแทบจะเหลือตู้คอนเทนเนอร์ในพื้นที่จำนวนไม่มากเนื่องจากสินค้าเข้า-ออกมีต่อเนื่อง เทียบกับปัจจุบันมีตู้คอนเทนเนอร์วางกองอยู่จำนวนมาก”
นายธนิตมองอีกว่าสอดคล้องกับที่ล่าสุดการสำรวจของมหาวิทยาลัยหอการค้าไทยเริ่มเห็นสัญญาณการปลดคนงานโดยเฉพาะแรงงานในธุรกิจบริการตามมาด้วยแรงงานในภาคค้าส่ง-ค้าปลีก มีการตัดการทำงานล่วงเวลาลดสวัสดิการและแนวโน้มการใช้เทคโนโลยีมาทดแทนแรงงานจากภาคการผลิต สถานการณ์จะรุนแรงมากขึ้นจากมาตรการล็อคดาวน์พื้นที่เสี่ยงเพื่อลดการแออัดซึ่งจะเป็นต้นเหตุของการแพร่ระบาด
-เสนอมาตรการเยียวยาแรงงาน
นอกจากนี้นายธนิตกล่าวอีกว่าจากปัญหาที่เกิดขึ้นโดยเฉพาะผลกระทบจากโควิด-19จึงได้นำเสนอมาตรการเยียวยา ต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานพิจารณาก่อนหน้านี้ เช่น ความชัดเจนกรณีประกันสังคมจะจ่ายเงินชดเชยว่างงานจากผลกระทบโควิด-19 ,มาตรการลดหย่อนภาษีนิติบุคคลของเอสเอ็มอี , มาตรการช่วยเหลือเยียวยาแรงงานนอกระบบประกันสังคม คาดว่าจากมาตรการล็อกดาวน์พื้นที่มีกลุ่มแรงงานนอกระบบได้รับผลกระทบไม่น้อยกว่า 1 ล้านคนหรือมากกว่านี้ จำเป็นที่จะต้องมีมาตรการเยียวยาระยะเร่งด่วนด้วยการใช้เงินจากกองทุนกรณีว่างงานและปิดกิจการซึ่งครม.เคยมีมติไว้วงเงิน 20,000 ล้านบาท
รวมถึงการขอความชัดเจนเกี่ยวกับการบังคับตามกฎหมายแรงงาน เช่นกรณีการกักตัวแรงงานเสี่ยง 14 วัน กรณีที่สถานประกอบการพบการติดเชื้ออาจต้องให้ลูกจ้างกักบริเวณตัวเองอยู่ที่บ้านนายจ้างจะต้องจ่ายค่าจ้างหรือไม่ รวมถึงแรงงานที่ทำงานอยู่กับบ้านในลักษณะ “Work At Home” ซึ่งเวลาทำงานไม่แน่นอนจะมีมาตรการอย่างไรเพราะกฎหมายแรงงานไม่ได้มีการระบุไว้ เช่น ชั่วโมงทำงาน, ค่าล่วงเวลา, การทำงานในวันหยุด รวมถึงธุรกิจท่องเที่ยวที่ได้รับผลกระทบแรงงานที่ต้องออกจากงาน จะถือเป็นการเลิกจ้างหรือไม่เพราะเป็นการสุดวิสัยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยได้หรือไม่ หากใช้มาตรา 75 ผู้ประกอบการไม่สามารถจ่ายค่าจ้าง 75 % ซึ่งไม่ทราบว่าธุรกิจท่องเที่ยวจะฟื้นตัวเมื่อใดจากผลการประชุมของรัฐบาลเมื่อวันที่24 มีนาคมที่ผ่านมาก็มีความชัดเจนบางเรื่องออกมาแล้ว แต่บางเรื่องก็ยังไม่มีความชัดเจนยังต้องไปดูรายละเอียดกันต่อไป