โรคสุ่มเสี่ยงเอียงซ้าย โรคการเมืองสามานย์ และโรคไร้เดียงสาทางการเมือง

25 มี.ค. 2563 | 09:00 น.

คอลัมน์ข้าพระบาท ทาสประชาชน ฐานเศรษฐกิจ ฉบับ 3560 หน้า 6 ระหว่างวันที่ 26-28 มี.ค.63 โดย... ประพันธุ์ คูณมี

 

          โลกกำลังเผชิญวิกฤติ ประเทศไทยของเราก็ตกอยู่ภายใต้ภาวะวิกฤติ จากภัยโรคระบาดร้ายแรง โควิด-19 เช่นกัน ด้วยจำนวนผู้ติดเชื้อ ผู้ป่วย และผู้เสียชีวิต ที่เพิ่มขึ้นในทุกๆ วันจากทั่วโลกและภายในประเทศ สื่อมวลชนและเจ้าหน้าที่ภาครัฐ ต่างได้รายงานสถานการณ์ความคืบหน้า เพื่อให้ประชาชนรับทราบเหตุร้ายแรงนี้ในทุกๆ วัน รัฐบาลโดยนายกรัฐมนตรี และคณะแพทย์ ผู้ทรงคุณวุฒิที่มีความรู้ประสบการณ์เชี่ยวชาญ เกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาเพื่อรับมือกับสถานการณ์ ที่เรียกได้ว่าเป็น “สงครามโรค” ครั้งนี้ ต่างทุ่มเทเสียสละทำงานเพื่อปกป้องชีวิตประชาชนจากโรคร้าย

          คณะรัฐมนตรี และ คณะกรรมการอำนวยการเพื่อแก้ไขปัญหาโรคติดต่อ ก็ได้มีมาตรการต่างๆ ออกมาเป็นระยะๆ ตามสถานการณ์ เพื่อให้ประชาชน ผู้ประกอบการธุรกิจ บริษัท ห้างร้าน สำนักงาน ส่วนราชการ ต่างๆ ปฏิบัติเพื่อให้ทุกคน “อยู่บ้าน หยุดเชื้อ เพื่อชาติ” ปิดเมือง ปิดสถานบริการ ร้านอาหาร และสถานที่อื่นๆ ดังเป็นที่ทราบโดยทั่วไปนั้น ซึ่งประชาชนพลเมืองดีทั้งหลาย ที่เข้าใจสถานการณ์วิกฤติของบ้านเมือง ล้วนแต่ให้ความร่วมมือกับบ้านเมือง ปฏิบัติตนตามคำแนะนำ เพราะรู้ดีว่าในยามวิกฤติเช่นนี้ ประชาชนควรปฏิบัติตนอย่างไร

          ผู้รักชาติและปรารถนาดีต่อประเทศชาติและประชาชน ทุกคนล้วนเสนอแนะแสดงความคิดเห็นอย่างสร้างสรรค์ ด้วยท่าทีให้เกียรติ สามัคคี ถนอมรักต่อกัน ให้กำลังใจและร่วมมือสนับสนุนการทำงานของเจ้าหน้าที่ ด้วยเจตนามุ่งหวังให้ทุกคนพ้นภัย รอดชีวิตจากวิกฤติไปด้วยกัน

 

          แต่บ้านเมืองของเรา ยังมีมนุษย์จำพวกหนึ่งที่ไร้ความสำนึก ไม่รู้จักรับผิดชอบชั่วดี ไม่รู้หน้าที่ของความเป็นพลเมืองดี แต่ทะลึ่งเสนอหน้าเสนอตัว อยากเป็นผู้นำประเทศ อยากเป็นผู้ปกครองประชาชน แต่จิตใต้สำนึกแห่งความรับผิดชอบต่อสังคม กลับต่ำกว่าประชาชนโดยทั่วไป แสดงตนสำรอกวาจาอ้างตนว่าเป็นคนก้าวหน้า เป็นคนรุ่นใหม่ แต่พฤติกรรมไร้สำนึกและล้าหลังต่อความคิดและจิตสำนึกของประชาชนส่วนใหญ่ยิ่งนัก

          ไม่น่าเชื่อว่าคนจำพวกนี้ ยังชูคอลอยหน้าอยู่ได้ในสังคม สื่อยังให้ราคา ซึ่งที่จริงแล้วคนประเภทนี้ ไม่ควรให้มีที่ยืนในสังคม สื่อไม่ควรให้ราคาและเสนอข่าวคนเหล่านี้อีกต่อไปเลย ไม่ควรให้เสียงเห่าหอนของพวกเขามารบกวนโสตประสาทประชาชนเลย เพราะยามนี้คนไทยต้องการความรักความสามัคคี ต้องการกำลังใจให้แก่กันและกัน ต้องการการให้กำลังใจแก่รัฐบาล คณะแพทย์ เจ้าหน้าที่สาธารณสุข ที่ทุ่มเททำงานหนักด้วยความเสียสละ เพื่อช่วยชีวิตเพื่อนร่วมชาติ จิตใจของประชาชนต่างรวมกันเป็นหนึ่งเดียว ด้วยภาวนาและขอให้ทุกๆ คน ร่วมกันฝ่าฟันวิกฤตินี้ให้ผ่านพ้นไปด้วยกัน ด้วยความปลอดภัยทุกชีวิต

          แต่พฤติกรรมทางการเมืองของคนจำพวกหนึ่ง ที่กำลังแสดงออกขณะนี้ กลับเป็นไปในทางปลุกปั่นประชาชน สร้างความแตกแยก ปลุกระดมทางความคิดกับสาวกที่งมงายพวกเขา เพียงเพื่อใช้เป็นเครื่องมือทางการเมือง เหยียบศพคนตายและซากวิกฤติของสถานการณ์โรคระบาดโควิด-19 เพื่อให้ตนมีอำนาจทางการเมืองเท่านั้น โดยที่พวกเขาไม่สนใจใยดีเลยว่า วันนี้ประเทศชาติและประชาชนกำลังเผชิญกับปัญหาและวิกฤติร้ายแรงนี้อย่างไร พวกเขาไม่เคยเสนอแนวทางการแก้ไขปัญหาที่ดี และมีประสิทธิภาพ หรือแสดงความคิดเห็นในทางที่ก้าวหน้าและสร้างสรรค์แต่อย่างใด

          ขณะที่รัฐบาลกำลังทุ่มเทแก้ปัญหาอย่างหนัก พวกเขากลับเสนอให้ นายกรัฐมนตรีลาออก-ยุบสภา จัดเลือกตั้งใหม่ แก้ไขรัฐธรรมนูญ บางคนที่แก่จนหัวหงอก ก็ไปปลุกปั่นยุยงเสนอให้ประชาชนฟ้องรัฐบาล ฐานประมาทปล่อยให้โควิด-19 ระบาด ไปโน้นเลย ทั้งๆ ที่ประชาชนโดยทั่วไปต่างก็รู้ว่า สาเหตุของโรคระบาดนี้เกิดขึ้นมาอย่างไร โดยเขามิได้สำนึกเลยว่า นี่เป็นข้อเสนออันโง่เขลา น่าหัวเราะ และน่าสมเพชเวทนาที่สุดในวิธีคิดและภูมิปัญญาของพวกเขาอย่างยิ่ง เป็นความคิดและข้อเสนอที่มิได้สอดคล้องกับสถานการณ์ และความเรียกร้องต้องการของประชาชนในขณะนี้แต่อย่างใดเลย

 

          พฤติกรรมและแนวคิดทางการเมืองทำนองนี้ ทำให้เห็นและเข้าใจได้ว่า คนจำพวกนี้น่าจะกำลังป่วยด้วยโรค 3 โรคเข้ารุมเร้า

          (1) “โรคสุ่มเสี่ยงเอียงซ้าย” คือ อาการโรคที่เพ้อและคิดถึงแต่เป้าหมายทางการเมืองของตน โดยมิได้คำนึงถึงความคิดและความเรียกร้องต้องการของประชาชน คิดแต่จะพามวลชนของตนออกรบ ออกสู้โดยสุ่มเสี่ยงต่อความพ่ายแพ้ และพามวลชนไปตาย พาคนไปต่อสู้ในขณะที่สภาพแวดล้อม มิได้เป็นผลดีใดๆ กับตน ยากที่จะประสบชัยชนะ

          (2) “โรคสามานย์ทางการเมือง” เป็นอาการที่คิดแต่จะเล่นการเมือง หาทางโค่นล้มอำนาจรัฐ เพื่อสร้างโอกาสแก่ตนเองกับพวกพ้อง แม้ยามภาวะวิกฤติที่ประชาชนเผชิญภัยโรคระบาดครั้งใหญ่ เสี่ยงต่อชีวิตความเป็นความตาย หรือ ประเทศกำลังเผชิญภัยสงครามรุกรานจากต่างชาติ คนจำพวกนี้คิดถึงแต่ผลประโยชน์ตนเอง คิดถึงแต่พวกตนเองจะมีอำนาจได้อย่างไร โดยมิได้คำนึงถึงชีวิตประชาชน มิได้คำนึงถึงว่าประเทศชาติบ้านเมืองจะล่มสลายอย่างไร มิได้คิดถึงความสามัคคีประชาชาติ เพื่อรับมือกับภัยคุกคาม อาการนี้คือ พวกจิตใจสามานย์ทางการเมือง

          (3) “โรคไร้เดียงสาทางการเมือง” เป็นอาการของพวกที่ไม่ประสีประสาทางการเมือง อ่อนหัด ขาดประสบการณ์ แต่ทะเยอทะยานอยากเป็นใหญ่ เหมือนไอ้ตี๋อยากเป็นฮ่องเต้ ไม่เข้าใจเส้นทางสู่อำนาจนั้น มิได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ มิใช่ง่ายแค่พลิกฝ่ามือ หากไม่ทำงานหนัก ไม่ทำงานให้ชนะใจประชาชน ไม่เคารพฟ้าดิน คิดว่าตนเองเก่ง ฉลาดเหนือผู้อื่นแต่เพียงอย่างเดียว แถมมีอาการเป็นพวก อีโก้จัด (egoism) มีอัตตาสูง ย่อมยากที่จะทำการใหญ่ให้สำเร็จ

          คนที่มีอาการโรคทางการเมืองทั้ง 3 อาการนี้พร้อมๆ กันนั้น นับว่าเป็นอันตรายอย่างยิ่งต่อบ้านเมือง 3 โรคนี้อยู่ในพรรคการเมืองใด กลุ่มการเมืองใด รบร้อยครั้งก็พ่ายแพ้สองร้อยครั้ง คือพ่ายแล้วพ่ายอีก

          วันนี้ นอกจากประเทศไทยของเราต้องเผชิญภาวะวิกฤติ โควิด-19 แล้ว เรายังต้องเผชิญภาวะซ้ำซ้อนจากคนป่วยจากพวก 3 โรคการเมืองรุมเร้า พยายามเข้ามาเป็นโรคแทรกซ้อน ซ้ำเติมสถานการณ์ คนจำพวกนี้อยู่สังคมไหน ให้มีอำนาจหรือทำงานอะไร ก็มีแต่จะพาชาติบ้านเมืองหายนะทั้งสิ้น

          ในระหว่างที่ประเทศเผชิญวิกฤติ ต้องกำจัดและต้านภัยโรคระบาดโควิด-19 ให้ชนะ ต้องไม่ลืมกำจัดโรคระบาดทางการเมืองที่เลวร้ายนี้ด้วย เพราะหากปล่อยไว้ ให้พวกเขายังลอยนวล ก็มีแต่สร้างหายนะแก่บ้านเมืองเช่นกัน