ประวัติศาสตร์จารึก “โควิด-19” โรดระบาดใหญ่

15 มี.ค. 2563 | 04:00 น.

คอลัมน์ฐานโซไซตี ฐานเศรษฐกิจ ฉบับ 3557 หน้า 4 ระหว่างวันที่ 12-14 มี.ค.63 โดย ... ว.เชิงดอย

 

 

          .... “เอาไม่หยุด ฉุดไม่อยู่” แพร่ระบาดและลุกลามไปเกือบทั่วโลก สำหรับ “ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่” (โควิด-19) จนองค์การอนามัยโลก (WHO) ต้องประกาศ เมื่อวันที่ 11 มีนาคม 2563 ให้การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่เป็น “การระบาดใหญ่” หรือ pandemic หลังจากเชื้อลุกลามไปใน 118 ประเทศและดินแดนทั่วโลก พบผู้ติดเชื้อมากกว่า 121,000 คนคร่าชีวิตผู้คนไปแล้วกว่า 4,300 คน

          .... การประกาศภาวะโรคระบาดโลก มีหลักการเบื้องต้นอยู่ 3 ประการ คือ1.ไวรัสสามารถก่อให้เกิดอาการป่วยจนถึงเสียชีวิต 2.มีการติดต่อระหว่างคนสู่คน 3.การแพร่ระบาดลุกลามไปทั่วโลกก่อนหน้านี้ช่วงสิ้นเดือนกุมภาพันธ์ WHO ยกระดับการเตือนภัยความเสี่ยงการระบาดไปทั่วโลกของเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่อยู่ระดับ “สูงมาก” ซึ่งเป็นระดับสูงสุด

          .... ย้อนกลับไปในอดีต “องค์การอนามัยโลก” เคยประกาศ “ภาวะการระบาดใหญ่” ในช่วงที่เกิดวิกฤติ H1N1 หรือการระบาดของไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ไปทั่วโลก หรือโดยทั่วไปมักเรียกว่า “ไข้หวัดหมู” เริ่มพบการระบาดตั้งแต่เดือนเมษายน 2552 พบครั้งแรกในรัฐเบรากรุซ ประเทศเม็กซิโก ข้อมูลขององค์การอนามัยโลกระบุว่า มีผู้เสียชีวิตจากไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 มากกว่า 18,000 คนทั่วโลก

          .... แต่ SARS หรือโรคระบบทางเดินหายใจเฉียบพลันร้ายแรง ที่ระเบิดเมื่อ 17 ปีก่อน โดยมีพื้นที่เริ่มต้นอยู่ที่มณฑลกวางตุ้ง ตอนใต้ของจีน และลามไปที่ฮ่องกง สิงคโปร์ และไปเกือบทั่วโลก 20-30 ประเทศ ไม่ถูกประกาศเป็น “การระบาดใหญ่” แม้จะพบใน 26 ประเทศ เช่นเดียวกับ ไวรัส MERS-CoV หรือที่เรียกว่า “โรคกลุ่มอาการระบบทางเดินหายใจเฉียบพลันในประเทศตะวันออกกลาง” ที่พบเมื่อปี 2555 เริ่มต้นจากประเทศซาอุดีอาระเบีย ต่อมาเชื้อได้แพร่กระจายไปยังประเทศ กาตาร์ จอร์แดน สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ อังกฤษ ฝรั่งเศส ตูนิเซีย เยอรมนี อิตาลี โอมาน คูเวต มาเลเซีย กรีซ และฟิลิปปินส์ แต่ก็ไม่ถูกจัดเป็น “การระบาดใหญ่” แต่อย่างใด

 

          .... ยินดีกับ “ประเทศจีน” ที่การแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ ได้พ้น “จุดสูงสุด” แล้ว และตัวเลขผู้ติดเชื้อลดลงเกือบเป็น “ศูนย์” โดย หมี่เฟิง โฆษกคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (NHC) ของจีน แถลงข่าวในกรุงปักกิ่ง เมื่อวันที่ 12 มีนาคม ที่ผ่านมาว่า จำนวนผู้ป่วยรายใหม่ลดลงอย่างต่อเนื่อง และสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคในภาพรวมทรงตัวอยู่ในระดับต่ำ จำนวนผู้ป่วยรายใหม่ในอู่ฮั่น เมืองเอกของมณฑลหูเป่ยทางตอนกลางและศูนย์กลางการระบาดของโรค ได้ปรับลดสู่ระดับเลขหลักเดียว โดยมีรายงานผู้ป่วยรายใหม่ เมื่อวันที่ 11 มีนาคม เพียง 8 ราย ไม่มีรายงานผู้ป่วยรายใหม่ในเมืองอื่นๆ ของหูเป่ยติดต่อกันครบสัปดาห์แล้ว ขณะที่จีนแผ่นดินใหญ่ ยกเว้นมณฑลหูเป่ย ตรวจพบผู้ป่วยรายใหม่เพียง 7 ราย โดยผู้ป่วย 6 ราย เป็นผู้ป่วยที่มาจากนอกประเทศ

          .... กลับมาดูสถานการณ์ไวรัสโคโรนาในประเทศไทย ณ วันที่ 12 มีนาคม 2563 กระทรวงสาธารณสุขรายงานว่า พบผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา เพิ่มอีก 11 ราย ส่งผลให้ยอดสะสมรวมเพิ่มขึ้นเป็น 70 ราย รักษาหายและเดินทางกลับบ้านแล้ว 34 ราย ยังรักษาตัวในโรงพยาบาล 35 ราย และเสียชีวิต 1 ราย ผู้ติดเชื้อที่พบล่าสุด 11 คน เป็นคนไทยใน 15 คน ที่มาปาร์ตี้ร่วมกับชาวฮ่องกงที่เดินทางกลับประเทศไปแล้ว ซึ่งเป็นการติดเชื้อแบบกลุ่มก้อนครั้งแรก มีพฤติกรรมการดื่มเหล้าแก้วเดียวกัน และสูบบุหรี่มวนเดียวกัน ส่วนอีก 4 คนไม่ดื่มเหล้าและไม่สูบบุหรี่ ทั้งยืนยันว่าสถานการณ์การระบาดยังอยู่ในระยะที่ 2 เหตุแพร่เชื้อในวงจำกัดไม่ใช่ซูเปอร์สเปรด...

          .... อ่าว...กลายเป็น “ศึก” ระหว่างหน่วยงานรัฐด้วยกันเอง เมื่อ วิชัย โภชนกิจ อธิบดีกรมการค้าภายใน บุกกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ปอท.) แจ้งความเอาผิด ชัยยุทธ คำคุณ โฆษกกรมศุลกากร ในข้อหาหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา กรณีออกมาแถลงข่าวว่ามีการส่งออกหน้ากากอนามัย 330 ตัน ในช่วงระหว่างเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา ซึ่งสร้างความเสียหายต่อกรมการค้าภายใน เพราะกรมการค้าภายในไม่ได้มีการส่งออกหน้ากากอนามัยจำนวนมาก และการส่งออกหน้ากากอนามัย 330 ตัน เป็นไปตามที่กรมศุลกากรแจ้งในแถลงการณ์ว่าตัวเลขดังกล่าวเป็นพิกัดจากศุลกากร ซึ่งรวมสินค้าอื่นนอกจากหน้ากากอนามัย ทั้งผ้าหุ้มเบาะ ผ้าคลุม เป็นต้น และเป็นการส่งออกก่อนมีประกาศควบคุมการส่งออกหน้ากากอนามัยที่มีผลวันที่ 5 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา อีกทั้งการส่งออกโดยปกติใช้มาตรวัดกันเป็นชิ้น ไม่ได้นับเป็นตัน เป็นการนำข้อมูลที่ไม่เป็นความจริงมาเปิดเผยออกสื่อ... ศึกศักดิ์ศรีระหว่าง 2 หน่วยงานจะลงเอยอย่างไร ต้องติดตาม...