ดึงหน้ากากขึ้นบนดิน บริหารข่าวสารโควิด-19

13 มี.ค. 2563 | 12:28 น.

คอลัมน์อยู่บนภู ฐานเศรษฐกิจ ฉบับ 3557 หน้า 8 ระหว่างวันที่ 15-18 มี.ค.63 โดย... กระบี่เดียวดาย

 

          สถานการณ์โควิด-19 ระบาดลุกลามอยู่ในขั้นวิกฤติทั่วโลก องค์การอนามัยโลก (WHO) ประกาศให้เป็นโรคระบาดทั่วไป โดยภูมิภาคยุโรปด้วยสภาพอากาศหนาวเย็น เชื้อมีระยะเวลาอยู่นาน ส่งผลให้เกิดการระบาดอย่างรวดเร็ว จำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นสูงมากในแต่ละวัน บางประเทศอย่างอิตาลี ต้องประกาศปิดประเทศไปแล้ว และมีปัญหาบุคลากรทางการแพทย์ เตียงพยาบาลไม่เพียงพอรับมือ สถานการณ์นำพาไปสู่การเลือกรักษาคนหนุ่มสาวเป็นลำดับแรกๆ ขณะที่สหรัฐฯ ประกาศงดรับผู้เดินทางจากยุโรปเว้นสหราชอาณาจักร เพื่อหวังสกัดกั้นการลุกลามของเชื้อไวรัสตัวนี้ไว้ให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ก่อน

          “เข้าขั้นวิกฤติไปทั้งโลกแล้ว กิจกรรมต่างๆ หยุดชะงักหมด แต่มีข่าวดีอยู่บ้างตรงประเทศจีนควบคุมการระบาดของโรคได้บ้างแล้ว”

          ขณะที่ประเทศไทย กระทรวงสาธารณสุข แถลงล่าสุด สถานการณ์โรคไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ หรือโควิด-19 วันที่ 13 มีนาคม 2563 พบผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ในประเทศไทยเพิ่มอีก 5 ราย เป็นการติดเชื้อแบบกลุ่มก้อน 2 รายเพิ่มเติมจากผู้ติดเชื้อแบบกลุ่มก้อน11 คน เมื่อวันที่ 11 มีนาคม 2563 และมีผู้ป่วยรายใหม่ 1 ราย ที่เป็นผู้หญิงที่ไปศัลยกรรมความงามที่เกาหลีใต้ ส่งผลให้ยอดสะสมรวมเพิ่มขึ้นเป็น 75 ราย

 

          “ไม่อยากให้ประชาชนตื่นตระหนก เกี่ยวกับเรื่องประกาศในระยะ 3 และยืนยันว่าไทยยังไม่ประกาศเข้าสู่ระยะ 3 พร้อมกับแนะนำการป้องกันโรค เช่น การใช้หน้ากาก กินร้อน ช้อนกลาง ล้างมือ และเชื่อว่าการป้องกันและรักษาของไทยจะผ่านไปได้ด้วยดี”

          การแถลงของแพทย์เพื่อสร้างความเชื่อมั่นและให้ความมั่นใจว่าสามารถดูแลได้ ไม่ต้องการให้ตื่นตระหนกจนไม่ต้องทำอะไรกัน กลายเป็นต้องอยู่กับความวิตกกังวล

          แน่นอนการสร้างความเชื่อมั่น มั่นใจเป็นเรื่องที่ดีในยามที่ข่าวสารสะพัด จนฟุ้งไปหมด และผู้คนไม่รู้จะฟังใคร ทำให้อารมณ์หดหู่ระบาดไปทั่วสังคมควบคู่กับโควิด-19

          การบริหารจัดการของรัฐหลัง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ประกาศจัดตั้งศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ก่อนหน้านี้ตั้งทีมให้ข้อมูลข่าวสารประชาชนที่ทำเนียบรัฐบาลไปแล้ว

          “นายกฯต้องกำชับในเรื่องการให้ข้อมูลข่าวสารกับประชาชนก่อนในเวลานี้ อย่าให้ข้อมูลที่ออกมาสะเปะสะปะ สร้างความไม่มั่นใจในข้อมูลที่ออกมา เพราะจะพัฒนาไปสู่สถานการณ์ที่เลวร้ายลงกว่าเดิมแล้วจะกลายเป็นว่ารัฐพูดอะไรออกมาคนไม่เชื่อ เมื่อนั้นปัญหาและสถานการณ์จะเข้าขั้นเลวร้ายที่ยากแก้ไข”

          อันนี้เป็นปัญหาเฉพาะหน้าที่ต้องจัดการแก้ไขโดยเร็ว หลังสูญเสียความเชื่อมั่นโดยสิ้นเชิงไปแล้วจากศึกหน้ากากที่กำลังฟัดกันนัวระหว่างกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ กับกรมศุลกากร กระทรวงการคลัง

          การฟ้องร้องกันของหน่วยงานรัฐ ก็เกิดจากการให้ข้อมูลข่าวสารที่ไม่ตรงกัน ที่มองกันว่าเป็นเรื่องเล็กๆ แต่กลับพัฒนาการจนเป็นเรื่องราวใหญ่โตขึ้นมา ถึงขั้นแจ้งความคดีอาญาเอาผิดกัน

 

          อันที่จริงรัฐบาลต้องกลับไปย้อนทวนเรื่องนี้ กระทรวงพาณิชย์มีประสบการณ์บริหารการค้าของประเทศมา 100 ปี ต้องรู้ว่าเมื่อไรที่ควบคุม “ของต้องลงไปใต้ดิน” มีการแสวงหาประโยชน์ เก็งกำไรในทุกภาวะที่ของขาดอยู่แล้วและยิ่งยุคนี้ ยุคที่การค้าขายผ่านระบบอี-คอมเมิร์ซ การกระทำการค้าทำได้ง่ายขึ้น

          รัฐต้องเข้าไปบริหารจัดการนำของที่อยู่ใต้ดิน ขึ้นมาบนดินเสีย โดยเข้าไปเทกโอเวอร์โรงงาน อาจกันงบกลางสักก้อนหนึ่งไม่กี่ร้อยล้านบาทต่อเดือน จ่ายเงินให้โรงงานบวกมาร์จินให้โรงงานผลิตสักเล็กน้อยตามสมควร ให้ผลิตออกมาแล้วแจกจ่ายให้ประชาชนฟรีผ่านจุดกระจาย โดยอาจขอความร่วมมือ 7-11 ร้านกาแฟอเมซอน ปตท.โดยให้นำบัตรประชาชนไปแลกรับในจุดที่สะดวก สำหรับหน้ากากอนามัยที่กันส่วนไว้ให้กับประชาชน ส่วนของบุคลากรทางการแพทย์ก็ให้กระทรวงสาธารณสุขดำเนินการแจกจ่ายออกไป โดยกระทรวงพาณิชย์ตรวจสอบแค่บันทึกบัญชีหน้ากากอนามัยที่ออกจากโรงงาน

          หรืออาจใช้ระบบไอทีเข้าช่วยในการกระจาย ซึ่งมีโปรแกรม มีเครื่องไม้เครื่องมืออิเล็กทรอนิกส์ที่สามารถดำเนินการได้อยู่แล้ว ต้องเข้าใจพื้นฐานก่อนว่าประชาชนคนไทยแทบทั้งประเทศใช้สมาร์ทโฟนที่สามารถเชื่อมโยง ค้นหา ตรวจสอบได้ทั้งหมดอยู่แล้ว

          นายกรัฐมนตรีต้องเร่งดับไฟตรงนี้ก่อน เพราะการบริหารจัดการส่วนนี้นำไปสู่ความเชื่อมั่นของรัฐบาลที่ลดลงอย่างรุนแรง

          “โควิด-19 ทำให้ข้าราชการเปิดศึก รัฐบาลเสียศูนย์ เจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานบางรายอย่างผู้อำนวยการท่าอากาศ ยานสุวรรณภูมิถึงขั้นต้องยื่นใบลาออกอันมีปมหลักมาจากการจัดการบริหารสืบเนื่องจากโควิด-19 ถ้าปล่อยให้สถานการณ์ยืดเยื้อจะยิ่งพังกันทั้งแถบ”

          กระทรวงพาณิชย์ กรมการค้าภายใน ก็ต้องทบทวนตัวเอง ในสถานการณ์ที่ปัญหารุมเร้าถูกก่นด่าหนักหน่วง แน่นอนย่อมมีอาการไม่พึงพอใจ แต่การตัดสินใจเปิดศึกฟ้องร้อง ใช่เป็นทางเลือกที่ดีที่สุดหรือไม่

          ทำความเข้าใจ พูดคุย ชี้แจง ถ้าผิดพลาด ก็ขอโทษ ขออภัยกันจะเป็นการดีที่สุด

          กลับไปถอนฟ้องซะเถอะ ! อย่าให้ลุกลามบานปลายกันไปมากกว่านี้

          สถานการณ์ขณะนี้ คนไทยต้องการพลังหนึ่งเดียว ไม่มีสี ไม่มีฝ่าย ไม่มียศ ไม่มีบั้ง

          เขาต้องการให้ประเทศรอดปลอดภัยจากโควิด-19 นี้โดยเร็ว!!  ​​​​​​​