ผีน้อย-กลุ่มเสี่ยง8แสนคน ใครน่ากลัว?
คอลัมน์ : ตื้น-ลึก-หนา-บาง
โดย : เรดไลออน
ช่วงนี้สังคมไทยมีคำถามต่าง ๆ มากมาย กับการป้องกันการระบาดของเชื้อไรวัสโคโรนา หรือโควิด-19 นอกเหนือจากเรื่องหน้ากากอนามัยขาดแคลนแต่คนใกล้ชิดนักการเมืองไปโพสต์ขายในเว็บจนชาวบ้านสาปแช่งกันทั้งประเทศ
มาถึงกรณี “ผีน้อย” คนไทยที่หนีไปใช้แรงงานในเกาหลีใต้อย่างผิดกฎหมายบินกลับประเทศไทย ก็หลีกเลี่ยงการกักตัว 14 วัน เพื่อเฝ้าระวังเชื้อโรคระบาด แต่กลับออกไปเดินเพ่นพ่านตามที่สาธารณะต่าง ๆ จนชาวบ้านกระเจิงไปทั่วกรุง
ผีน้อย-คนไทยหนีการกักตัว 14 วัน
อีกกลุ่มหนึ่งก็คือ “คนไทย” ที่บินกลับจากประเทศเสี่ยงตามที่กระทรวงสาธารณสุขประกาศยกระดับการเฝ้าระวังเป็นพื้นที่เสี่ยงจากเดิม 11 ประเทศ ตัดเหลือ 4 ประเทศ ได้แก่ จีน (มาเก๊า+ฮ่องกง) เกาหลีใต้ อิหร่าน และอิตาลี ซึ่งในทางปฏิบัติและรับผิดชอบต่อสังคม “ต้องกักตัว” อยู่กับบ้าน 14 วัน
แต่ยังพบว่าคนเหล่านี้ยังออกไปฉุยฉายย่านชุมชน ศูนย์การค้า เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น กลายเป็นประเด็นที่สังคมตั้งคำถามว่าควรจะทำอย่างไรกับคนทั้ง 2 ประเภทนี้
ในขณะที่ภาครัฐมีมาตรการป้องกันและกักตัวคนไทยที่เดินทางมาจากประเทศกลุ่มเสี่ยง
หลายประเทศห้ามคนไทยเข้า
แต่ทำไมนักท่องเที่ยวจากประเทศกลุ่มเสี่ยงยังเดินทางเข้ามาประเทศไทยได้อย่างอิสระเสรี ไม่ถูกกักกันตัว หรือมีมาตรการเข้มงวดกวดขัน ป้องกันแต่ประการใด
ทั้งที่หลายประเทศเริ่มใช้นโยบาย “ล็อกประตูบ้าน” ปิดกั้นการเดินทางเข้า-ออกเมืองอย่างอิตาลี และไม่นับรวมอีกหลายประเทศที่ห้ามคนไทยหรือคนที่เคยไปประเทศเสี่ยงใน 14 วัน ห้ามเข้าประเทศ เช่น กาตาร์ ต้องถูกกักตัว 14 วัน
บางประเทศถึงขั้นเมื่อครบกำหนด 14 วันแล้ว ยังต้องรายงานตัวต่อหน่วยงานด้านสุขภาพทางโทรศัพท์หรือแอพอีก 10 วัน โดยต้องรายงานทุกวัน ขณะที่พำนักอยู่ในประเทศนั้นอีกด้วย เช่น บาห์เรน คาซัคสถาน เป็นต้น จนสถานทูตไทยต้องออกมาเตือนคนไทยในการเดินทางไปหลายประเทศ เช่น อิสราเอล คูเวต อิรัก เป็นต้น
ภูเก็ตโวยขั้นตอนปฏิบัติไม่ชัด
ประเทศไทยแม้มีประกาศกระทรวงสาธารณสุข แต่ในทางปฏิบัติกลับไม่มีแนวทางที่ชัดเจนว่านักท่องเที่ยวจากประเทศเสี่ยงเหล่านี้เมื่อเดินทางเข้าประเทศไทยควรปฏิบัติตัวเช่นไร เช่น รายงานสุขภาพทุกวัน ตลอด 14 วัน หรือมีใบรับรองแพทย์รับประกันว่าไม่ได้ติดเชื้อโควิด-19 เพื่อเป็นใบเบิกทางเข้าประเทศไทย สิ่งเหล่านี้ยังไม่เห็นอย่างเป็นรูปธรรม
กระทั่งผู้ประกอบการท่องเที่ยวภูเก็ตตื่นตัวและผนึกกำลังกัน 5 สมาคมเพื่อยื่นหนังสือถึง "หมอหนู-อนุทิน ชาญวีรกูล" รองนายกฯและรัฐมนตรีกำกับดูแลกระทรวงสาธารณสุข เมื่อวันที่ 9 มีนาคม 2563 ที่ผ่านมา
ใบรับรองแพทย์-ทำประกัน3ล้านก่อนออกตั๋ว
สะท้อนให้เห็นชัดว่าแผนรับมือไวรัสมรณะของไทยยังไม่มีการบูรณาการ และเป็นไปแบบสะเปะสะปะ “นักการเมือง” ว่ากันไปคนทิศคนละทาง ล่าสุดหน่วยงานด้านการบินอย่าง สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (กพท.) ได้ออกมาคลอดมาตรการให้นักท่องเที่ยวจากประเทศกลุ่มเสี่ยงต้องมีใบรับรองแพทย์มาแสดงให้ชัดเจนว่าไม่ได้ติดเชื้อไวรัสแก่ผู้โดยสารของสายการบิน ก่อนออก Boarding Pass
หากไม่มีสายการบินมีสิทธิปฏิเสธการขึ้นเครื่องของผู้โดยสารรายนั้นตั้งแต่ต้นทาง แต่ด้วยนโยบายออกมาอย่างกะทันหันทำให้สายการบินอย่างการบินไทยถูกผู้โดยสารฟ้องเรียกค่าเสียหายรายละ 600 ยูโร หรือราว 21,000 บาท เช่นเที่ยวบินจากอิตาลี เหตุที่ไม่แจ้งล่วงหน้าทำให้หาใบรับรองไม่ทัน
อีกทั้งกระทรวงสาธารณสุขยังจ่อออกกฎให้ผู้ที่จะเดินทางจากประเทศเสี่ยงต้องทำประกันสุขภาพอย่างต่ำคนละ 1 แสนดอลลาร์สหรัฐฯ หรือราว 3 ล้านบาท ในการเดินทางมายังประเทศไทย เพื่อเป็นหลักประกันหากเกิดปัญหาขึ้น ซึ่งจะบังคับใช้ควบคู่กับใบรับรองแพทย์ ที่ต้องนำไปแสดงก่อนออกตั๋วโดยสารเครื่องบินด้วยเช่นกัน
8 แสนคนจากพื้นที่เสี่ยงทั่วกรุง
แต่ความจริงที่ปรากฏ พบว่ามีต่างชาติยังเดินทางเข้าประเทศไทยอย่างต่อเนื่องและตัวเลขช่วงตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ - 4 มีนาคม 2563 จาก 13 ประเทศ ราว 8.13 แสนคน ในจำนวนนั้นแยกเป็น จีน 176,559 คน ฮ่องกง 39,975 คน มาเก๊า 1,056 คน ไต้หวัน 39,556 คน ญี่ปุ่น 145,925 คน สิงคโปร์ 33,649 คน เกาหลีใต้ 56,791 คน อิตาลี 22,439 คน อิหร่าน 2,466 คน สหรัฐฯ 74,779 คน ฝรั่งเศส 111,760 คน เยอรมนี 97,594 คน และสเปน 10,676 คน
ตัวเลขนี้สะท้อนชัดว่า ประเทศไทยยังเป็นที่นิยมของคนจีนรองลงมาเป็นญี่ปุ่น เกาหลี ที่ล้วนเป็นประเทศที่มีผู้ติดเชื้ออยู่ในอันดับต้น ๆ ทั้งสิ้น อีกทั้งนักท่องเที่ยวเหล่านี้ยังกระจายอยู่ทั่วกทม.และหัวเมืองท่องเที่ยวหลัก
เห็นแบบนี้แล้วระหว่าง "ผีน้อย"กับ "นักท่องเที่ยว 8 แสนคน" ใครน่าสยองกว่ากัน!!