วิกฤติโควิด-19 บททดสอบภาวะผู้นำ

11 มี.ค. 2563 | 06:25 น.

คอลัมน์ข้าพระบาททาสประชาชน ฐานเศรษฐกิจ ฉบับ 3556 หน้า 6 ระหว่างวันที่ 12-14 มี.ค.63 โดย... ประพันธุ์ คูณมี

 

          สถานการณ์โลก ณ ปัจจุบันที่การระบาดของโรค “โควิด-19” ยังคงระบาดหนักต่อเนื่อง ยอดผู้เสียชีวิตที่ปรากฏฎนอกจากจีน ประเทศอื่นๆ ตัวเลขยังคงพุ่งสูงน่าเป็นห่วง โดยเฉพาะที่ อิหร่าน อิตาลี และเกาหลีใต้ ตัวเลขการติดเชื้อจากทั่วโลก ณ วันที่ 10 มีนาคม 2563 ยังพบระบาดหนักกว่า 90 ประเทศ ยอดผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้น 101,917 ราย ที่ติดเชื้อสูงสุดถึง 80,651 ราย มีผู้เสียชีวิตแล้วถึง 3,070 ราย โดยเหตุการณ์นี้ยังไม่มีคำตอบว่า จะหยุดลงและยุติได้อย่างไร ภาวการณ์เช่นนี้ เรียกได้ว่าเป็น “ภาวะวิกฤติ โควิด-19” ที่ส่งผลกระทบไปทั่วโลก 
          เมื่อกล่าวถึงผลกระทบแล้ว เป็นวิกฤติที่มิได้เกิดขึ้นเฉพาะคนไทยแต่ได้ส่งผลกระทบถึงประชาคมทั้งโลก อันเป็นวิกฤติครั้งร้ายแรงที่สุดครั้งหนึ่ง การระบาดของโรคที่กินเวลานานถึงกว่า 2 เดือน และคาดว่ายังจะคงอยู่ไปอีกในระยะเวลาหลายเดือนนี้ ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจทั้งโลก ไม่ว่าด้านการค้า การลงทุน การท่องเที่ยว กิจการการบิน อุตสาหกรรม การพาณิชย์ ธุรกิจทุกๆ ด้านและอื่นๆ ล้วนรับผลกระทบที่ร้ายแรงนี้ถ้วนหน้า โฉมหน้าภูมิทัศน์ทางเศรษฐกิจ การเมือง และสังคมโลก ได้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่อย่างคาดไม่ถึง โดยยังคาดการณ์ไม่ได้ว่าจะจบลงอย่างไร
          นี่คือภาวะวิกฤติของชาวโลก และเป็นสถานการณ์วิกฤติภายในประเทศไทยด้วย จึงถือเป็นการทดสอบภาวะความเป็นผู้นำของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในฐานะนายกรัฐมนตรีและความเป็นผู้นำประเทศครั้งสำคัญที่สุด นับแต่วันที่ท่านได้ก้าวสู่ความเป็นผู้นำ ปัญหาของโลกขณะนี้ คงไม่มีใครกล้าปฏิเสธว่า ประเทศกำลังเผชิญกับภาวะวิกฤติเศรษฐกิจตกต่ำไปทั่วโลก และคราวนี้คงไม่น้อยไปกว่าวิกฤติต้มยำกุ้งเมื่อปี 2540 เพราะไม่เพียงผลจากสงครามทางการค้า และปัญหาเศรษฐกิจภายในประเทศที่ดำรงอยู่แต่เดิมเท่านั้น ยังมีวิกฤติซ้อนวิกฤติจากไวรัสโควิด-19 มาผสมโรงกับวิกฤติทางการเมืองของความไม่เป็นประชาธิปไตย และความขาดเสถียรภาพของรัฐบาลอีกด้วย

          การจะนำพาประเทศชาติให้อยู่รอดได้หรือไม่ ต้องอาศัยภาวะผู้นำของรัฐบาลหรือคณะรัฐมนตรี และหากจะกล่าวให้ถึงที่สุดก็คือ ภาวะความเป็นผู้นำของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในฐานะนายกรัฐมนตรีนั่นเอง ปัญหาวิกฤติขณะนี้ จะใช้วิธีการแบบเดิมๆ หรือความถนัดจัดเจนแบบเก่าๆ ที่เคยทำอย่างที่ผ่านมา หรือเทคนิคการบริหารความเสี่ยงเพียงในตำราคงจะไม่ได้เสียแล้ว เนื่องจากเหตุแห่งวิกฤติครั้งนี้ใหญ่หลวงนัก ส่งผลกระทบในวงกว้าง แถมด้วยปัญหาวิกฤติซ้อนวิกฤติเข้าไปอีก
          โดยเฉพาะปัญหาทางการเมือง ที่กำลังสั่นคลอนรัฐบาลอยู่ขณะนี้ ซึ่งหากผู้นำประเทศ เป็นที่รักและศรัทธาของมหาชน ทุ่มเทเสียสละให้แก่การปฏิรูปประเทศอย่างจริงจัง มีฐานทางการเมืองที่เข้มแข็ง มีแนวร่วมผู้สนับสนุนที่ดี ย่อมเหมือนบ้านและประเทศที่แข็งแกร่ง เหมือนคนที่สุขภาพร่างกายแข็งแรง พื้นฐานประเทศมั่นคง ย่อมพอจะรับมือกับโรคร้ายที่คุกคามได้ แต่หากปราศจากความเข้มแข็งดังกล่าวแล้ว การที่จะนำพารัฐนาวาประเทศไทยให้รอดพ้นภาวะวิกฤตินี้ไปได้ ย่อมมิใช่เรื่องง่ายเลย
          ความเป็นผู้นำในภาวะวิกฤติเช่นนี้ จึงสำคัญและจำเป็นอย่างยิ่งต่อประเทศไทย กับคนไทยทุกผู้คน ประเทศไทยของเรายามนี้ เผชิญทั้งภาวะวิกฤติ (crisis) และเหตุแห่งความเสี่ยง (risk) ไปพร้อมๆ กัน ซึ่งพร้อมที่จะสร้างความเสียหายร้ายแรงด้วยกันทั้งสิ้น โดยเฉพาะเหตุวิกฤติขณะนี้ จะสร้างความเสียหายเป็นอย่างมาก และเกิดผลกระทบในวงกว้าง จนมิอาจจะประมาณได้ว่าจะกินปริมาณไปกว้างไกลเพียงใด
          การวางแผนเพื่อการบริหารจัดการปัญหาทั้งความเสี่ยงและภาวะวิกฤตินี้ จึงเป็นหน้าที่อันสำคัญยิ่งของผู้นำ ที่จะต้องออกหน้าและแสดงออกซึ่งภาวะความเป็นผู้นำ ที่มิอาจโยนความรับผิดชอบไปให้ใครได้เลย ท่านต้องเป็นแม่ทัพในการออกรบเผชิญหน้ากับภาวะวิกฤติ สร้างความศรัทธาและความเชื่อมั่นแก่คนในชาติว่า ท่านรับมือกับปัญหานี้ได้

          ประเทศไทยขณะนี้ต้องการผู้นำ มิใช่ต้องการผู้บริหารที่มีความสามารถเพียงจัดการปัญหาไปตามสถานการณ์ การป้องกันมิให้เกิดวิกฤติ เป็นเรื่องยากเพราะมันเกิดขึ้นแล้ว แต่สิ่งที่ผู้นำทำได้คือ การบรรเทาความเสียหาย การลดความเสียหาย และการฟื้นฟูประเทศ ภายหลังวิกฤติ ผู้นำที่มีความสามารถจะต้องหาแนวทางในการป้องกันมิให้เหตุวิกฤตินั้น ส่งผลที่เสียหายร้ายแรงต่อประเทศของตน และผู้นำที่ดีต้องมีความสามารถในการแสวงหาความมั่งคั่งได้แม้เผชิญวิกฤติ หรือหาทางกอบกู้ภาวะวิกฤติได้อย่างรวดเร็ว จึงจะเรียกได้ว่า “เป็นผู้นำในยามวิกฤติ”
          ประเทศกำลังเผชิญภาวะวิกฤติ ประชาชนทั้งหลายย่อมต้องฝากความหวังไว้ที่ท่าน วันนี้ท่านนายกรัฐมนตรี จำเป็นต้องแสดงภาวะผู้นำ (Leadership) ให้ประชาชนเห็นเป็นที่ประจักษ์ครับ การสนับสนุนผู้อื่น คณะรัฐมนตรีและผู้ร่วมงาน ให้ปฏิบัติงานด้วยความเต็มใจ กระตือรือร้น เพื่อบรรลุเป้าหมายและวัตถุประสงค์ จึงเป็นภารกิจสำคัญ ซึ่งการจะทำการนั้นสำเร็จ จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีความเข้าใจผู้ร่วมงาน มีศิลปะในการนำคน มิใช่ไล่ส่งพูดให้มีปัญหา ผู้นำต้องแก้ปัญหาด้วยวิธีคิดและวิธีการที่ดี ใช้รูปแบบและกระบวนการทำงานที่เหมาะสม เราจึงจะผ่านพ้นวิกฤตินี้ไปได้ด้วยดีร่วมกัน
          แม้ในโลกใบนี้ ผู้นำจะมีหลายแบบหลายประเภท ไม่ว่าผู้นำแบบประชาธิปไตย, ผู้นำแบบเผด็จการ, ผู้นำแบบบารมีและอำนาจ หรือผู้นำตามสถานการณ์ ล้วนเป็นผู้นำที่แตกต่างและเหมาะสมแต่ละสถานการณ์ ของแต่ละประเทศ สำหรับคนไทยประเทศไทยยามนี้ ผู้นำแบบไหน แมวสีอะไรไม่สำคัญ ขอให้จับหนูได้ ขอให้เป็นผู้นำที่แก้ไขปัญหาวิกฤติของชาติได้ ประเทศไทย คนไทยยอมรับได้หมด หากแก้ปัญหาวิกฤติประเทศไม่ได้ ผู้นำแบบไหนๆ ก็อยู่ยากครับ