คอลัมน์ : Let Me Think
โดย : TATA007
วันนี้ทั่วโลกต่างผวาพิษไวรัสโคโรนาที่ขยายวงไปทั่ว ดูจากตัวเลขแล้วน่าตกใจ ณ วันที่ 7 มีนาคม 2563 มีจำนวนยอดผู้ป่วยทั่วโลกรวมทะลุ 1 แสน ราย และผู้เสียชีวิตรวมกว่า 3,500 คน ไวรัสโคโรนากำลังเป็นมหันตภัยร้ายที่กำลังทุบเศรษฐกิจโลกแบบถอนรากถอนโคน
วิกฤติไวรัสโคโรนากินเวลาผ่านไปแล้วกว่า 2 เดือน ทำเอาผู้ประกอบการรายใหญ่ถึงกับปาดเหงื่อ ไข้ขึ้น ตกอยู่ในอาการช็อกไปตามๆกัน นับประสาอะไรกับผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อมหรือเอสเอ็มอี ที่เวลานี้บางรายยอมรับว่าแทบกระอักและถ้าการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนายืดเยื้อต่อไปถึงกลางปี หรือลากยาวไปถึงไตรมาส 4 ปีนี้ บอกได้คำเดียวเอสเอ็มอีอีกหลายรายต้องยกธงขาว ไม่สามารถแบกรับภาระต้นทุนที่พุ่งสูงขึ้นได้ ยกเว้นรายนั้นมีสายป่านยาวหรือเจ้าหนี้ยอมยืดหนี้ให้แบบยาวๆ ก็อีกเรื่องหนึ่ง
วันนี้หันไปมองภาพรวมผู้ประกอบการที่มีฐานการผลิตในพื้นที่แต่ละภาค ล้วนบ่นเป็นเสียงเดียวกันว่า “วิกฤตินี้สาหัสนัก นับตั้งแต่ตั้งกิจการมา เพราะลามไปทั้งโลกตัดวงจรชีวิต นอกจากจะใช้ชีวิตประจำวันที่ยากลำบากขึ้นแล้ว การขับเคลื่อนเศรษฐกิจก็เป็นไปได้ยาก ทั้งคำสั่งซื้อ สายพานการผลิต เส้นทางขนส่ง ไม่สามารถขับเคลื่อนได้อย่างสมบูรณ์ ภาพเหล่านี้เริ่มปรากฏชัดเจนขึ้นถึงผลพวงที่ตามมาเป็นทอดๆ
สอดคล้องกับมุมมอง ดร.ณพพงศ์ ธีระวร ประธานกิตติมศักดิ์ สมาพันธ์ SME ไทยกล่าวว่า เมื่อภาคท่องเที่ยวหยุดชะงัก ส่งออกเป็นง่อย ค้าปลีกและค้าส่งอยู่ในสภาพพิการ ธุรกิจบริการผวา Supply Chain ทั้งโลกชะงัก ทำให้เงินหยุดทำงาน ขณะที่ความเชื่อมั่นหายไปหมด และทางออกของผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ก็หนีไม่พ้นเรื่องเดิมๆ คือปรับลดต้นทุนที่ไม่จำเป็นออก วิ่งบริหารจัดการ Cash Flow ดูแลลูกค้ามีการยืดหยุ่นให้ลูกค้าตามกำลัง คู่ขนานไปกับการวิ่งหาสินเชื่อและมาตรการช่วยเหลือจากภาครัฐ ยอมรับว่าเหนื่อย!
ดังนั้นการรับมือของภาครัฐในการช่วยเหลือเอสเอ็มอีต้องรีบเข้าไปเสริมสภาพคล่องผ่านสินเชื่อ SMEs ดอกเบี้ยต่ำและอนุมัติได้เร็ว รวมถึงอัดฉีดเม็ดเงินสร้างกำลังซื้อ มีการรณรงค์ให้เที่ยวไทยและใช้สินค้าไทย รวมถึงลดดอกเบี้ยนโยบายลง ทุกหน่วยงานภาครัฐคิดนโยบายช่วยลดรายจ่ายของภาคประชาชนและกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอย เช่น รถเมล์และรถไฟฟรี สร้างงานและจ้างงาน ให้ผู้สูงอายุ หรือคนที่ว่างงานมาตัดเย็บหน้ากากป้องกัน COVID-19 เพื่อกระจายรายได้ และเพื่อลดการขาดแคลนหน้ากาก รวมถึงเร่งรัดการใช้จ่ายภาครัฐให้เร็วขึ้น
ขณะที่ผู้ประกอบการอีกรายมองว่า สถานะของผู้ประกอบการเอสเอ็มอีในมุมมองส่วนตัว มี 2 ทางหากการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาลุกลามไปถึงปลายปี ทางแรก เป็นกลุ่มเอสเอ็มอีที่เลี้ยงไข้ไปเรื่อยๆ ยังพอมีสายป่านยาวและสามารถเจรจากับเจ้าหนี้ได้ ทางที่ 2 เป็นกลุ่มเอสเอ็มอีที่ต้องปิดตัว หลังจากที่แบกรับภาระจนหลังแอ่น ไม่สามารถบริหารจัดการตัวเองได้อีกต่อไป
“ยอมรับว่าทำธุรกิจเริ่มเหนื่อย ท้อแท้ พอธุรกิจจะดีขึ้นเราก็มาเจอปัญหาค่าแรงพุ่ง เงินบาทแข็งค่าต่อเนื่อง สงครามการค้าจีน-อเมริกา กระทั่งเลวร้ายสุดคือการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา”
เสียงสะท้อนจากผู้ประกอบการเอสเอ็มอีที่ตอกย้ำให้เห็นภาพว่า เจอวิกฤติซ้ำแล้วซ้ำอีกแบบนี้ แล้วธุรกิจเล็กๆจะขับเคลื่อนต่อไปได้อย่างไร
คำว่า “เศรษฐกิจเผาจริง” มันใกล้เข้ามาทุกที ผู้ประกอบการไทยคงต้องใช้ความอดทนสูงที่จะฝ่าฟันโจทย์หินนี้ไปได้ เพราะถึงเวลานี้ยังไม่มีใครตอบได้ว่าไวรัสโคโรนาจะลากยาวต่อไปอีกนานแค่ไหน 3 เดือน หรือครึ่งปีหรือลากยาวไปถึงปลายปี และกว่าจะใช้เวลาฟื้นฟู ถึงตอนนั้น SMEs คงต้องกระอักอาจถึงตายได้