ฝ่าพายุโควิด-19 ฉีดยาแรงกู้วิกฤติ

28 ก.พ. 2563 | 11:00 น.

คอลัมน์อยู่บนภู ฐานเศรษฐกิจ ฉบับ 3553 หน้า 6 ระหว่างวันที่ 1-4 มี.ค.62 โดย...กระบี่เดียวดาย

 

          พายุใหญ่ระดับมหันตภัยโลกติดหวัด ติดไวรัสโคโรนา หรือโควิด-19 แพร่กระจายลุกลามไปทั่วโลกแล้วในห้วงเวลานี้ มหันตภัยรอบนี้เป็นอะไรที่หนักหนาสาหัสสากรรจ์อยู่มาก นอกจากกระทบทางด้านสังคมแล้วในด้านเศรษฐกิจผลกระทบที่เกิดขึ้นค่อนข้างรุนแรงตามมาอย่างมิอาจหลีกเลี่ยงได้

          กระทบอย่างไร แน่นอนการเดินทางท่องเที่ยวหยุดชะงักแทบทั้งหมด ซึ่งยังไม่มีใครพยากรณ์ได้ว่าโควิด-19 จะจบลงตรงไหนเดือนไหน เมื่อท่องเที่ยวหดหายพี่น้องเราที่ทำร้านอาหาร โรงแรม ขายของเล็กน้อยตามแหล่งท่องเที่ยวจะได้รับผลกระทบไปด้วย ปัญหาการตกงาน ว่างงานกำลังจะตามมา

          ในภาพใหญ่ขึ้นมาอีกนิด การผลิตสินค้าของไทย ซึ่งเรียกว่าเป็นหนึ่งในห่วงโซ่ผลิตสำคัญ หมายถึงว่าเรานำเข้าชิ้นส่วน เช่น จากจีน มาผลิตสินค้าส่งออก หรือจีน เกาหลีนำชิ้นส่วนจากเราไปผลิตส่งออก ซึ่งในเอเชียเป็นฐานผลิตสินค้าให้โลกสัดส่วนเกือบ 50% เมื่อเอเชียชะงักนั่นหมายถึงเราไม่มีสินค้าผลิต

          ที่สำคัญตู้สินค้าที่ใช้ขนส่งทั่วโลก 70-80% อยู่ที่จีน แต่สถานการณ์ขณะนี้การขนส่งหยุดชะงักลง หมายความว่าเราต้องชะลอผลิตสินค้าไป 3-6 เดือน หมายถึงพี่-น้อง-ลูก-หลานเรา อาจจะต้องถูกเลิกจ้างตกงานตามมา

          เวลาเกิดวิกฤติใหญ่ๆ ก็ต้องมองย้อนไปในประวัติศาสตร์ว่าเราผ่านกันมาอย่างไร และเหตุการณ์ละม้ายคล้ายเหมือนอย่างไร ย้อนไปไม่นานในคราวเกิดวิกฤติเศรษฐกิจปี 2540 คราวนั้นวิกฤติเกิดจากสถาบันการเงิน หนี้ และการถูกโจมตีค่าเงิน มีคนตกงานจำนวนมากเช่นเดียวกัน

          คนจนลงในพริบตาเช่นเดียวกัน แต่อย่างน้อยเรายังผลิตสินค้าส่งออกได้ เรายังขายท่องเที่ยวได้ เรายังผลักคนกลับสู่ถิ่นฐานไปทำงานในภาคเกษตรได้

 

          หรือกระทั่งวิกฤติเศรษฐกิจโลกหนี้ซับไพรม์ต้นตอจากอเมริกาเมื่อปี ค.ศ. 2008 ทำให้ชะงักงันไปทั้งโลก แต่เราก็ยังประคองฝ่าวิกฤติกันมาได้ เพราะเรายังมีการผลิต ส่งออก ท่องเที่ยว หลายกลไก หลายเครื่องยนต์ยังขับเคลื่อนเลื่อนไหลไปได้แม้สะดุดติดขัด

          แต่คราวนี้ มันช็อก! และชะงักลงไปทั้งหมด!!! และยังไม่มีส่วนไหนที่พอจะเป็นหลังพิงให้คนไทยเหมือนวิกฤติครั้งก่อนๆ

          “เมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2563 บริษัท ณุศา เลเจนด์ สยาม จำกัด (มหาชน) บริษัทในกลุ่มณุศาศิริ ผู้บริหารโครงการเลเจนด์ สยาม ได้ทำจดหมายแจ้งปิดกิจการให้พนักงาน โดยระบุว่าเนื่องจากภาวะเศรษฐกิจโดยรวมปี 2562 ชะลอตัวตามภาวะเศรษฐกิจโลก ทั้งปัจจุบันได้เกิดสถานการณ์ Covid-19 จำนวนมากและมากขึ้นฝ่ายบริหารได้พิจารณาแล้วเห็นว่ามีความจำเป็นต้องปิดกิจการของบริษัทลง และต้องเลิกจ้างพนักงานทุกท่าน ตั้งแต่วันที่ 3 มีนาคม 2563 เป็นต้นไป” เลเจนด์สยามประกาศปิดตัว

          เริ่มต้นจากเดินทางท่องเที่ยว ธุรกิจบริการเกี่ยวเนื่องลามไปสู่ภาคการผลิตที่แท้จริง สัญญาณปิดกิจการของรายเล็กรายน้อยเริ่มส่งผ่านมาให้เห็นมากขึ้น หรือกระทั่งธุรกิจรายใหญ่เองก็เริ่มเร่งรีบประเมินสถานการณ์มากขึ้น

          อันนี้เป็นสัญญาณล่าสุดที่ออกมา !!​​​​​​

 

          นอกเหนือไปจากนั้นกระแสความระแวดระวัง มองคนเอเชียด้วยความคลางแคลงใจเริ่มมากขึ้นในหมู่ชาติตะวันตก

          ถามว่าสถานการณ์จะคลี่คลายได้ไหม ประเมินว่ากรณีมีหมอดียาดี คิดวัคซีนรักษาโรคได้ แต่กว่าความสัมพันธ์ระหว่างตะวันออกตะวันตก จะกลับมาจับมือถือมั่นกันได้ก็คงอีกนาน นั่นหมายถึงสถานการณ์แบบนี้ยังคงอยู่อีกเป็นปี แม้จะคิดยารักษาได้ภายใน 3 เดือนนี้

          สถานการณ์แบบนี้ ต้องหยุดยั้งปัญหาเฉพาะหน้าที่จะเกิดตามมาสั้นๆ คือ หนี้เสีย ซึ่งจะลุกลามไปเป็นปัญหาที่แก้ยากมากขึ้นของเศรษฐกิจอีกและปัญหาจะนำไปสู่ความวุ่นวายหรือความไม่สงบทางสังคม ซึ่งต้องช่วยกันหยุดยั้งไม่ให้เดินไปสู่จุดนั้น

          ลุงตู่ - พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและครม.จะนั่งนิ่งกันไม่ได้แล้ว แต่ต้องวิ่งกันแล้วและต้องวิ่งให้เร็ว ไม่ใช่วิ่งมาราธอน

          ต้องประกาศอัดฉีดให้ยาแรง บริหารประเทศแบบอยู่ในสถานการณ์ฉุกเฉิน เด็ดขาด ไม่จำเป็นต้องกังวลเสียงครหาโจมตีว่าเป็นประชานิยม หรือการโจมตีทางการเมือง

          เครื่องไม้เครื่องมือที่รัฐมีอยู่ จำต้องงัดออกมาใช้ทั้งหมดในขณะนี้แล้ว

          มันไม่ใช่เรื่องการเมืองแต่มันเป็นการแก้สถานการณ์วิกฤติ!!!