มิตรภาพไทย-จีน มีสุขร่วมเสพ มีภัยร่วมต้าน

05 ก.พ. 2563 | 08:30 น.

คอลัมน์ข้าพระบาท ทาสประชาชน ฐานเศรษฐกิจ ฉบับ 3546 หน้า 6 ระหว่างวันที่ 6-8 ก.พ.63 โดย... ประพันธุ์ คูณมี


          ความสัมพันธ์ไทย-จีน ยุคใหม่ ภายหลังที่จีนแผ่นดินใหญ่ได้ปฏิวัติปลดปล่อยประเทศ เปลี่ยนแปลงการปกครองมาสู่ระบบสาธารณรัฐประชาชนจีน ในปัจจุบัน ถึงวันนี้ก็นับรวมเป็นเวลาถึง 45 ปีแล้ว โดยไทยได้สถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตกับสาธารณรัฐประชาชนจีน เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 2518

          นับแต่นั้นเป็นต้นมา ความสัมพันธ์ของทั้ง 2 ประเทศ ได้ดำเนินมาอย่างราบรื่นบนพื้นฐานของความเสมอภาค เคารพซึ่งกันและกัน ไม่แทรกแซงกิจการภายในซึ่งกันและกัน และอยู่ภายใต้หลักการของผลประโยชน์ร่วมกัน เพื่อธำรงไว้ซึ่งความมั่นคง สันติภาพ และเสถียรภาพของภูมิภาค

          ไทยกับจีนมีความร่วมมือกันอย่างใกล้ชิดมาตลอด โดยเฉพาะในช่วงสงครามที่ประเทศไทยต้องเผชิญกับภัยคุกคามจากลัทธิคอมมิวนิสต์ในอินโดจีน และเหตุการณ์สงครามในกัมพูชา ที่กองทัพและกำลังทหาร พร้อมอาวุธร้ายแรงจากเวียดนาม จำนวนหลายแสนนาย ยกพลรุกประชิดชายแดนไทยในเวลานั้น ทั้ง 2 ประเทศต่างมีความไว้เนื้อเชื่อใจต่อกันอย่างยิ่ง

          ความช่วยเหลือที่จีนยื่นมือเข้ามาช่วยไทยในยามวิกฤติ อยู่ในช่วงหน้าสิ่วหน้าขวานสุ่มเสี่ยงว่า รัฐไทยอาจล่มสลายเปลี่ยนแปลงไปตามประเทศอินโดจีนหรือไม่ สถาบันสูงสุดของไทยจะยังคงอยู่คู่แผ่นดินไทยต่อไปหรือไม่นั้น ประเทศไทยก็มีจีนนี่แหละเป็นมิตรแท้ในยามยาก ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ จนทำให้กำลังของพรรคคอมมิวนิสต์ไทยอ่อนแอลง มิเพียงเท่านั้น จีนยังได้เปิดสงครามสั่งสอนที่ชายแดนจีน-เวียดนาม จนทำให้กองทัพเวียดนามยอมถอนกำลังหลายแสนนายออกไปจากชายแดนไทย สันติภาพในภูมิภาคจึงเกิดขึ้น

          เมื่อสิ้นสุดยุคสงครามเย็นแล้ว จีนกับไทยก็เน้นและให้ความสำคัญในการสร้างความสัมพันธ์ด้านการค้าและเศรษฐกิจ บนพื้นฐานของผลประโยชน์ต่างตอบแทนเป็นหลัก ไทยกับจีนไม่เคยมีปัญหาหรือข้อขัดแย้งใดๆ ที่ตกทอดมาจากประวัติศาสตร์ การไปมาหาสู่ของผู้นำระดับสูงสุดก็เป็นไปอย่างดียิ่ง โดยเฉพาะการเสด็จฯ เยือนจีนอย่างเป็นทางการ ของสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เมื่อเดือนตุลาคม 2543 และการเสด็จฯ เยือนจีน ของพระบรมวงศานุวงศ์ของไทย มีส่วนสำคัญอย่างยิ่งต่อการเสริมสร้าง และกระชับความสัมพันธ์ ความร่วมมือระหว่างทั้ง 2 ประเทศให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้นมาโดยลำดับ รวมทั้งการส่งเสริมมิตรภาพและความเข้าใจระหว่างประชาชนของทั้ง 2 ประเทศ   

 

          ในความสัมพันธ์ระดับรัฐบาล ไทย-จีน ยังมีการแลกเปลี่ยนการเยือนระหว่างผู้นำระดับสูงของรัฐบาลอย่างสม่ำเสมอ เห็นได้จากการเยือนไทยอย่างเป็นทางการของ ประธานาธิบดี สี จิ้น ผิง (ขณะดำรงตำแหน่งรองประธานาธิบดี) เมื่อระหว่างวันที่ 22-24 ธันวาคม 2554 และนายกรัฐมนตรี หลี่ เค่อเฉียง ได้เดินทางมาเยือนไทยเป็นทางการเมื่อวันที่ 11-13 ตุลาคม 2556 และยังมาเข้าร่วมประชุมสุดยอดผู้นำแผนงานการพัฒนาความร่วมมือทางเศรษฐกิจในภูมิภาคลุ่มน้ำโขง (GMS Summit) ครั้งที่ 5 ระหว่างวันที่ 19-20 ธันวาคม 2557

          นอกจากนี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีของไทย ยังได้เดินทางไปเยือนจีนอย่างเป็นทางการ ระหว่างวันที่ 22-23 ธันวาคม 2557 และยังได้เยือนจีนในโอกาสต่างๆ อีก ได้แก่เข้าร่วมประชุมผู้นำกรอบความร่วมมือแม่โขง-ล้านช้าง ครั้งที่ 1 และการประชุม Boao Forum for Asia ระหว่างวันที่ 22-24 มีนาคม 2559 ณ มณฑลไห่หนาน และเข้าร่วมการประชุมผู้นำ G20 ในฐานะประธานกลุ่ม G77 ระหว่างวันที่ 4-5 กันยายน 2559 ณ นครหางโจว มณฑลเจ้อเจียง

          ด้านการค้า ปัจจุบันจีนเป็นประเทศคู่ค้าอันดับที่ 1 ของไทย โดยจีนเป็นทั้งตลาดส่งออกและแหล่งนำเข้าอันดับที่ 1 ขณะที่ไทยเป็นตลาดส่งออกลำดับที่15 และเป็นตลาดนำเข้าอันดับที่ 10 ของจีน ในปี 2560 การค้า 2 ฝ่ายมีมูลค่ารวม 73,670.43 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ด้านการลงทุนจีนเป็นนักลงทุนอันดับที่ 3 ของไทย เงินลงทุนประมาณ 27,514 ล้านบาท ด้านการท่องเที่ยวปี 2561 นักท่องเที่ยวชาวจีนมาเที่ยวไทย 10,535,955 ล้านคน สูงเป็นอันดับที่ 1

          ที่กล่าวทั้งหมดโดยย่อๆดังกล่าวข้างต้น ก็เพื่อให้พี่น้องคนไทยของเราได้มองเห็นถึงความสำคัญ ในมิตรภาพและความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างไทย-จีน เฉพาะจีนยุคใหม่ ยังมิได้นับรวมไปถึงในอดีตกาล ตั้งแต่ยุคสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช พระมหากษัตริย์ในยุคสมัยกรุงศรีอยุธยา เป็นราชธานี ไทยกับจีน มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันมาต่อเนื่องยาวนานนับพันๆ ปี เป็นมิตรยามยาก เป็นสาแหรกและสายสัมพันธ์ฉันท์พี่น้องมาอย่างลึกซึ้งยาวนานเกินกว่าที่ใครๆ จะแบ่งแยกได้

          วันนี้มิตรประเทศของเรา ประชาชนจีนที่เป็นพี่น้องของเรา กำลังเผชิญทุกข์ภัยจากโรคระบาดร้ายแรง ที่คร่าชีวิตเพื่อนมนุษย์ร่วมโลก ไปแล้วหลายร้อยชีวิต และยังมีผู้ติดเชื้อที่รอคอยการเยียวยารักษาอีกมากนับพันนับหมื่นคน รัฐบาลจีนและประชาชนจีน กำลังต่อสู้กับโรคร้ายที่คุกคามเอาชีวิตประชาชน และยังมีภารกิจอันยิ่งใหญ่ที่จะปกป้องชาวโลกทั้งมวล มิให้ได้รับภัยระบาดจากเชื้อไวรัสโคโรนา ดังกล่าว

          ด้วยความเสียสละในยามที่พี่น้องชาวจีนมิตรประเทศที่ดีของเรามีทุกข์เช่นนี้ เราคนไทยควรจะมีท่าทีต่อเหตุการณ์นี้เช่นไร จะแสดงน้ำใจต่อมิตรชาวจีนในยามยากนี้อย่างไร จึงย่อมเป็นท่าทีสำคัญยิ่งที่รัฐบาลและประชาชนชาวไทย ต้องแสดงน้ำใจออกมา อย่างเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน คำว่า “มีสุขร่วมเสพ มีภัยร่วมต้าน” น่าจะเป็นจุดยืนและท่าทีที่ดีที่สุดในยามนี้

 

          เราต้องยอมรับว่า ในช่วงเวลาที่ผ่านมา ผลพวงความเจริญและการพัฒนาประเทศ ตลอดจนความเติบใหญ่ขยายตัวทางเศรษฐกิจของจีน จนใกล้ที่จะขึ้นมาเป็นอันดับที่ 1 ของโลกนั้น ได้มีส่วนหนุนเสริมให้เศรษฐกิจไทยเข้มแข็งเติบใหญ่ไปด้วย ไทยได้รับอานิสงส์จากสภาพเศรษฐกิจและสังคมจากจีนไม่น้อย ยามที่มิตรประเทศลำบากเช่นนี้ จึงสมควรอย่างยิ่งที่คนไทยจะได้แสดงน้ำใจอย่างมิตรแท้ในยามยาก

          คนไทยต้องให้กำลังใจและช่วยเหลืออย่างเต็มที่ตามกำลังที่จะช่วยเหลือได้ มิใช่การแสดงออกด้วยการตั้งข้อรังเกียจหรือซ้ำเติมมิตรประเทศ ไทยไม่จำเป็นต้องแสดงตนเดินตามก้นชาติตะวันตกบางประเทศ เราต้องเป็นตัวของเราเอง โดยยินดีต้อนรับและให้เกียรติชาวจีน ปฏิบัติและต้อนรับพี่น้องจีนเยี่ยงเพื่อนมนุษย์ร่วมโลก บนความเชื่อมั่นต่อมาตรการป้องกัน แก้ไขปัญหาของรัฐบาลไทย และเชื่อมั่นในฝีมือความรู้ความสามารถของแพทย์ไทย ในการรับมือกับโรคร้ายดังกล่าว ซึ่งขณะนี้ ก็เป็นที่ทราบโดยทั่วไปว่า รัฐบาลไทย และแพทย์ไทย สามารถค้นคิดยารักษา และมีมาตรการป้องกันที่ได้ผลและมีคุณภาพ เป็นที่ยอมรับยกย่องจากทั่วโลก ถึงมาตรฐานการป้องกันรักษาโรคติดต่อได้ดีที่สุดในเอเชีย และเป็นอันดับที่ 6 ของโลก

          ชาวอู่ฮั่น และชาวจีน จงสู้ สู้ และต้องเอาชนะภัยพิบัติร้ายแรงครั้งนี้ไปได้อย่างแน่นอน อู่ฮั่นสู้สู้ ชาวจีนสู้สู้ เราคนไทย ประชนชาวไทย ขอให้กำลังใจ

          สุดท้ายขอชื่นชมรัฐบาลไทย ที่มีความแน่วแน่ มั่นคง ไม่วูบวาบหวั่นไหวต่อสถานการณ์จนเสียสมาธิ เห็นด้วยอย่างยิ่งกับนายกรัฐมนตรี ที่มีคำเตือนไปยังพวกสร้างข่าวปลอมลวงโลก เผาประเทศตนเองโดยไร้สำนึกผิดชอบชั่วดี และขอประณามพวกกาลกิณี ที่เอาเรื่องความเป็นความตายของคนมาเล่นการเมือง หวังเพียงจะเล่นงานถล่มรัฐบาลโดยมิคำนึงถึงความเสียหายของประเทศ

          จะเกลียดชังรัฐบาลไม่ว่าแต่อย่าเกลียดชังประเทศ เผาบ้านตนเอง เวลานี้ประชาชนไทยต้องสามัคคีกัน ! ประชาชาติทั้งหลายต้องร่วมมือกัน เราจึงจะฝ่าฟันวิกฤติของโลกครั้งนี้ไปได้