สัญญาณอันตราย ของรัฐบาล‘ลุงตู่’

29 ม.ค. 2563 | 05:30 น.

คอลัมน์ข้าพระบาททาสประชาชน ฐานเศรษฐกิจ ฉบับ 3544 หน้า 6 ระหว่างวันที่ 30 ม.ค.-1 ก.พ.63 โดย... ประพันธุ์ คูณมี


          บ้านเมืองเมื่อเข้าสู่โหมด การเลือกตั้ง มีรัฐบาลตามระบอบประชาธิปไตย ภายใต้รัฐธรรมนูญ 2560 แล้ว สถานการณ์การเมือง น่าจะสงบราบรื่นไปสักระยะหนึ่ง รัฐบาลใหม่น่าจะได้มีช่วงเวลาฮันนีมูนอย่างน้อยสัก 6 เดือน แต่เหตุการณ์ดูเหมือนมิได้เป็นไปเช่นนั้น เนื่องจากการมีรัฐบาลใหม่ ที่มีนายกรัฐมนตรีคนเก่าคือ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้ซึ่งเคยดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีมาแล้วถึง 5 ปี ในช่วงเวลาแห่งการเข้ายึดอำนาจของ คสช.
          เมื่อเข้าดำรงตำแหน่งอีกครั้ง ย่อมทำให้ผู้คนส่วนหนึ่งที่คัดค้าน เห็นว่าเป็นการสืบต่อจากอำนาจเดิม แม้ท่านจะมาจากการเลือกตั้ง ที่พรรคการเมืองต่างๆ สนับสนุนยกมือในสภาให้เป็นนายกรัฐมนตรี อีกวาระหนึ่งก็ตาม ความไม่สงบและความวุ่นวายทางการเมืองยังคงดำรงอยู่ต่อไป เริ่มตั้งแต่วันแรกที่เข้ารับหน้าที่จนถึงปัจจุบัน คลื่นลมทางการเมืองจึงไม่เคยหยุดนิ่งแม้แต่วันเดียว รัฐนาวาของ “ลุงตู่” มีเรื่องให้ต้องลุ้นและแก้เกมการเมืองแทบทุกวันทุกเวลา
          ด้วยผลการเลือกตั้ง ส.ส. ที่เสียงระหว่างฝ่ายสนับสนุน “ลุงตู่” กับฝ่ายที่ไม่เอา “ลุงตู่” ออกมาคู่คี่สูสีทิ้งห่างกันไม่กี่คะแนน การจัดตั้งรัฐบาลจึงทำให้ต้องลุ้นด้วยเสียงปริ่มนํ้ามาแล้วรอบหนึ่ง หลังจากตั้งรัฐบาล นำ ครม.ใหม่เข้าถวายสัตย์ปฏิญาณ ก็มีปัญหาไปอีกรอบว่าได้กระทำครบถ้วนถูกต้องตามรัฐธรรมนูญหรือไม่ ครั้นเมื่อ ครม.เข้าแถลงนโยบาย ก็โดนลองของจากฝ่ายค้านอีกระลอก ด้วยการอภิปรายประหนึ่งซักฟอกไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรี
          จนถึงล่าสุดรัฐบาลเสนอ ร่างพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2563 ในวาระสุดท้าย อภิปราย 4 วัน 3 คืน ที่สุดที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร มีมติเห็นชอบด้วยคะแนนเสียง 253 เสียง งดออกเสียง 196 ไม่ลงคะแนน 1 เสียง เหตุการณ์ก็น่าจะผ่านไปด้วยดีและราบรื่น ที่รัฐบาลสามารถผ่านกฎหมายสำคัญนี้ไปได้ แต่แล้วก็ไม่วายเกิดเรื่องที่ไม่น่าจะเกิด นั่นคือปรากฎมี ส.ส.บางคน โหวตลงคะแนนโดยเสียบบัตรแทนกัน ในการพิจารณาร่างพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายฯ ที่ถือเป็นกฎหมายสำคัญยิ่งฉบับหนึ่ง
          ทั้งๆ ที่เคยเกิดกรณีเช่นนี้มาแล้ว และศาลรัฐธรรมนูญเคยวินิจฉัยไว้ให้เป็นความผิดและเป็นบรรทัดฐาน ผูกพันรัฐสภา เมื่อเกิดกรณีเช่นนี้ ย่อมส่งผลต่อความชอบหรือไม่ชอบของกระบวนการพิจารณากฎหมายของสภาฯ ซึ่งในที่สุดก็ต้องเป็นอำนาจในการวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งยังมิอาจทราบได้ว่าผลจะเป็นประการใด

          การจะเดินหน้าเพื่อให้ พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่าย มีผลบังคับใช้ย่อมอาจมีปัญหาติดขัดได้ ส่งผลต่อการบริหารราชการแผ่นดิน และโครงการลงทุนต่างๆ และโครงการของรัฐตามนโยบาย ที่เกี่ยวกับการต้องใช้เงินงบประมาณแผ่นดินให้ล่าช้าออกไป กรณีดังกล่าวนี้ย่อมส่งผลต่อความเชื่อมั่นของรัฐบาลอย่างเลี่ยงมิได้ ส่วน ส.ส.ที่มีพฤติกรรมดังกล่าว อาจถูกลงโทษถึงถอดถอนจากการเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหรือไม่ และจะมีผลต่อเสียงสนับสนุนรัฐบาลอย่างไร เป็นปัญหาที่จะตามมาอีกระลอกหนึ่ง
          เหตุการณ์ทางการเมืองดังกล่าว ถือว่าเป็นสัญญาณที่ไม่สู้ดีต่อรัฐบาล อันเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นและดำรงอยู่ เมื่อผสมรวมกับปัญหาทางเศรษฐกิจที่มีอยู่เป็นพื้นฐานเดิม ย่อมสร้างความลำบากใจแก่รัฐบาลอยู่ไม่น้อย เรียกว่าความวัวยังไม่หาย อยู่ๆ ก็เกิดสถานการณ์การแพร่ระบาดของ “เชื้อไวรัสโคโรนา” ที่เกิดการระบาดของโรคติดต่อทางเดินหายใจจากไวรัสสายพันธุ์ใหม่ตัวนี้ ที่เมืองอู่ฮั่น มณฑลเหอเป่ยของจีน
          เฉพาะข้อมูลวันที่ 26 มกราคม 2563 มีผู้ติดเชื้อสูงถึง1,975 ราย เสียชีวิตแล้ว 56 ราย เชื่อว่าหลังจากเขียนบทความนี้แล้ว น่าจะมีผู้ติดเชื้อและเสียชีวิตเพิ่มขึ้นอีก แม้ประธานาธิบดีจีน“สี จิ้นผิง” จะได้มีคำสั่งและมาตรการเด็ดขาดเพื่อแก้ปัญหาแล้ว แต่ผลกระทบที่จะมีต่อประเทศไทย คงหลีกเลี่ยงได้ยากโดยเฉพาะทางด้านเศรษฐกิจ อย่างน้อยความเสียหายที่ได้รับผลกระทบจากการท่องเที่ยวที่เป็นรายได้สำคัญจากจีน โดยสมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว(แอตต้า) ประเมินว่าไตรมาสแรกนี้อาจเสียหายถึง 5 หมื่นล้านบาท ซึ่งย่อมส่งผลต่อปัญหาเศรษฐกิจไทยค่อนข้างแน่นอน
          สถานการณ์บ้านเมืองยามนี้ รัฐบาล“ลุงตู่” กำลังถูกปัญหาต่างๆ รุมเร้าเข้ามาในช่วงเวลาเดียวกันหลายปัญหา จำต้องตั้งหลักให้ดีมีสติที่มั่นคง ทีมงานการเมืองและทีมเศรษฐกิจ ต้องระดมสมองและคนดีมีฝีมือมาช่วยกันอย่างเต็มที่ จึงจะประคับประคองรัฐนาวาลำนี้ ให้ผ่านคลื่นมรสุมไปได้
          เพราะนอกจากปัญหาดังกล่าวแล้ว ยังมีสัญญาณถึงเมฆหมอกมรสุมทางการเมืองลูกใหญ่ กำลังตั้งเค้าทมึนอยู่เบื้องหน้า กลิ่นควันทางการเมืองที่กำลังก่อเค้าเป็น “ขบวนการไล่ลุง” ได้โชยกลิ่นส่งสัญญาณอันตรายถึงรัฐบาลอีกปัญหาด้วย ขบวนการดังกล่าวนี้ ลำพังพรรคอนาคตใหม่ เป็นผู้จุดไฟถือคบเพลิงนำหน้า อาจจะยังไม่ติดหรือมีพลังมากพอ

          แต่เมื่อไหร่คนที่เคยเชียร์ลุง ให้โอกาสลุง เบื่อลุง และไม่เอาลุงไปเข้าร่วมด้วยนั่นแหละ คือสัญญาณอันตรายทางการเมืองและเสถียรภาพของรัฐบาล กำลังใกล้เข้ามาถึง จากประสบการณ์ขอเตือนว่าอย่าได้ประมาทครับ การปรากฏตัวของนักวิชาการ จากกลุ่ม กปปส.ที่เคยหนุนลุง หรืออดีตแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่เริ่มออกมาแสดงตนเข้าร่วมกิจกรรมทางการเมืองกับ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ และพรรคอนาคตใหม่ บนเวทีเสวนาทางการเมือง จากที่เคยมีปัญญาชน นักวิชาการและคนชั้นกลางกลุ่มอื่นกระโดดออกมาก่อนหน้า โดยมีจุดเริ่มต้นที่การเรียกร้องการแก้ไขรัฐธรรมนูญนั้น กำลังก่อกระแสนำพาไปสู่การปลุกประชาชนให้ลุกขึ้นมาร่วมกันขับไล่รัฐบาล“ลุงตู่”
          เพราะพวกพันธมิตรหรือมวลชน กปปส.ที่เคยให้กำลังใจลุง เชียร์ลุง สนับสนุนลุง หรือแม้กระทั่งที่วางเฉยไม่ซํ้าเติมสถานการณ์ วันนี้พวกเขาเริ่มหมดความอดทนต่อสภาพของบ้านเมือง และการเมืองขณะนี้ เพราะที่พวกเขายอมอดทนเปิดโอกาสให้รัฐบาลลุงตู่ เพราะต้องการเห็นบ้านเมืองเปลี่ยนแปลง หลังไล่ระบอบทักษิณ แต่สิ่งที่พวกเขารอคอยการปฏิรูปทางการเมืองกลับไม่เห็นผล
          แถมรัฐบาลยังไปเอาพวกนักการเมืองหน้าเก่า ที่เคยร่วมกับทักษิณมาใช้งาน การสร้างความสามัคคีปรองดอง ก็ล่องลอยในสายลม แถมจับมัดเหลืองแดงไว้ด้วยข้อหาที่ร้ายแรงเกินจริง เป็นตัวประกันทางการเมือง เพียงเพราะเขาใช้สิทธิทางการเมือง ครั้นรัฐบาลลุงตู่จะนิรโทษความผิดทางการเมืองให้พวกเขาก็ไม่ทำ ทั้งที่ได้ประโยชน์และรับดอกผลจากการต่อสู้ของพวกเขา
          เมื่อพิจารณาประกอบกับปัญหาทางการเมืองอื่นๆ ที่กล่าวมา คนจำพวกหลังอาจมองว่าลุงไม่ทำตามสัญญา ตีกินทางการเมือง หากพวกเขาหันไปจับมือกับกลุ่มต่อต้านรัฐบาลเมื่อไหร่ นี่คือสัญญาณอันตรายที่รัฐบาล “ลุงตู่” ไม่ควรมองข้ามอย่างยิ่ง จึงเตือนมาด้วยความหวังดีครับ