คอลัมน์ มังกรกระพือปีก โดย ดร.ไพจิตร วิบูลย์ธนสาร รองประธานและเลขาธิการ หอการค้าไทยในจีน
หน้า 7 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 40 ฉบับที่ 3,541 วันที่ 19-22 มกราคม 2563
หนึ่งในเป้าหมายหลักในปีนี้ที่รัฐบาลจีนภายใต้การนำของท่านประธานาธิบดี สี จิ้นผิง ให้ความสำคัญก็คือ การทำให้ “คนยากจนหมดสิ้นไปจากแผ่นดินจีน” คำถามที่น่าสนใจก็คือ รัฐบาลจีนจะประสบความสำเร็จหรือไม่ และหากเกิดขึ้นได้จริง ก็เกิดคำถามที่ใหญ่กว่าก็คือ จีนทำได้อย่างไร
เพราะหากมองย้อนหลังไป 70 ปีนับแต่ยุคก่อตั้งประเทศ จีนเป็นหนึ่งในประเทศที่ยากจนที่สุดแห่งหนึ่งของโลก และอาจกล่าวได้ว่า คนจีนเกือบทั้งประเทศจำนวนหลายร้อยล้านคนมีฐานะยากจน หรือหากมองย้อนกลับไปเมื่อครั้งท่าน เติ้ง เสี่ยวผิง ประกาศเปิดจีนสู่โลกภายนอกครั้งใหม่ราว 40 ปีก่อน จีนก็ยังยากจนและล้าหลังกว่าไทยมาก!
ทำไมจีนใส่ใจกับปัญหาความยากจน
เมื่อครั้งประกาศเปิดประเทศสู่โลกภายนอกครั้งใหม่ ท่านเติ้ง เสี่ยวผิง ได้เคยกล่าวเอาไว้ว่า “ความยากจนไม่ใช่ระบอบสังคมนิยม” นับแต่นั้นเป็นต้นมา จีนก็เดินหน้าแก้ไขปัญหาความยากจนอย่างจริงจังผ่านการพัฒนาเศรษฐกิจที่ขยายตัวในอัตราเฉลี่ยเกือบ 10% ต่อปีในช่วง 4 ทศวรรษต่อมา
ภายหลังความสำเร็จในช่วง 30 ปีแรกหลังการเปิดประเทศที่พึ่งพาภาคการต่างประเทศและการลงทุนของภาครัฐเป็นกลไกสำคัญ รัฐบาลจีนก็ตระหนักดีถึงความผันผวนและเปราะบางของเศรษฐกิจโลกในช่วง 10 ปีหลัง จึงเล็งเห็นถึงความจำเป็นที่ต้องอาศัยกลไกใหม่ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ เพื่อเปลี่ยน “โรงงานของโลก” ไปเป็น “ตลาดของโลก” และยกระดับจีนให้ก้าวข้ามสู่การเป็นประเทศพัฒนาแล้วในอนาคต
เราสังเกตเห็นการลงทุนของภาครัฐในโครงการต่าง ๆ เป็นจำนวนมากเพื่อสร้างเวทีใหม่ให้แก่ภาคธุรกิจ และความกินดีอยู่ดีให้แก่พี่น้องชาวจีน อันส่งผลให้ภาคการบริโภคภายในประเทศและการลงทุนของภาครัฐเพิ่มบทบาทต่อเศรษฐกิจโดยรวมของจีน และลดระดับการพึ่งพาภาคการต่างประเทศในเชิงเปรียบเทียบ
แต่ความท้าทายในการพัฒนาเศรษฐกิจตามระบบทุนนิยม และการเสริมสร้างรากฐานทางการเมืองและสังคมภายใต้ระบอบสังคมนิยมก็คือ ทำอย่างไรจะลดช่องว่างระหว่างคนรวยและคนจน และจะยกระดับฐานะความเป็นอยู่และขจัดความยากจนให้สูญสิ้นไปจากแผ่นดิน
ในปลายปี 2012 รัฐบาลจีนได้เริ่มประกาศนโยบายแก้ไขปัญหาความยากจน และตั้งเป้าหมายที่จะขจัดความยากจนของภาคประชาชนให้หมดสิ้นภายในสิ้นปี 2020 นับแต่นั้นมา รัฐบาลจีนก็มุ่งมั่นตั้งใจที่จะเดินทางไกลอีกครั้งเพื่อบรรลุเป้าหมายดังกล่าว ซึ่งสะท้อนผ่านคำกล่าวของท่านสี จิ้นผิงเมื่อปีที่ผ่านมาว่า “เราจะไม่ทิ้งคนยากจนไว้ข้างหลังแม้แต่คนเดียว” ทั้งที่ตอนนั้น จีนยังมีคนยากจนอยู่อีกกว่า 10 ล้านคน
โอกาสความสำเร็จ...ท้าทายยิ่ง
ในการดำเนินนโยบายดังกล่าว จีนเผชิญกับความท้าทายในหลายระดับ ประการแรก จีนมีคนยากจนอยู่เป็นจำนวนมาก จำนวนคนยากจนที่มากมายดังกล่าวทำให้การแก้ไขปัญหาต้องใช้เวลานาน ซึ่งนำไปสู่ข้อเรียกร้องที่มากขึ้นและสูงขึ้นโดยลำดับ เหล่านี้กลายเป็นความท้าทายใหม่สำหรับรัฐบาลจีน
คนยากจนในยุคหลังเรียกร้องมากกว่าปัจจัย 4 และยังสูงขึ้นในเชิงคุณภาพ เราจึงเห็นคนยากจนของจีนในปัจจุบันไม่เพียงแค่เรียกร้องหลังคาบ้านเพื่อกันแดดฝน อาหารประทังชีวิต เสื้อผ้ากันหนาว และบริการรักษาพยาบาล แต่ยังเรียกร้องไปถึงการกำหนดเส้นแบ่งความยากจนที่สูงขึ้น และบริการสาธารณะที่มีคุณภาพ อาทิ การศึกษาภาคบังคับ บริการสาธารณสุข และการประกันสังคม
ประการถัดมา คนยากจนเหล่านี้ส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในพื้นที่ชนบท มีระดับการอ่านออกเขียนได้น้อย และกระจัดกระจายทั่วประเทศอันกว้างใหญ่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตอนกลางและด้านซีกตะวันตกของประเทศ ซึ่งมีสภาพภูมิประเทศและอากาศที่แตกต่างกันมาก แถมพื้นที่ด้านซีกตะวันตกก็มีความหนาแน่นของประชากรโดยเฉลี่ยอยู่น้อย แต่กลับมีจำนวนและระดับความยากจนอยู่สูง เหล่านี้ล้วนสะท้อนถึงระดับความซับซ้อนของปัญหาที่มีอยู่
ยิ่งเมื่อพิจารณาระดับความเจริญทางเศรษฐกิจที่แตกต่างกันก็พบว่า เส้นแบ่งความยากจนที่จีนกำหนดไว้ที่ ปีละ 2,300 หยวน เมื่อปี 2010 และปรับขึ้นเป็นระยะตามความเท่าเทียมด้านกำลังซื้อ โดยอยู่ที่ 4,000 หยวน ณ สิ้นปี 2019 ก็ยังถือว่าตํ่าเกินไปสำหรับพื้นที่ด้านซีกตะวันออกที่มีค่าครองชีพสูง
ตัวอย่างเช่น มณฑลเจียงซู ซึ่งมีประชากรราว 80 ล้านคน มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 2 รองจากมณฑลกวางตุ้ง และมีรายได้เฉลี่ยต่อหัวเป็นอันดับต้น ๆ ของจีน กำหนดเส้นแบ่งความยากจนไว้ที่ 6,000 หยวน ซึ่งแม้จะสูงกว่าค่าเฉลี่ยของประเทศ แต่คนส่วนใหญ่กลับเห็นว่าเป็นการยากที่คนจะใช้ชีวิตในพื้นที่ได้อย่างเหมาะสมหากมีระดับรายได้ดังกล่าว
ดังนั้น เมื่อรัฐบาลท้องถิ่นประกาศว่า ณ สิ้นปี 2019 มณฑลเจียงซูมีระดับการแก้ไขปัญหาความยากจนลุล่วงไปแล้ว 99.99% จากจำนวน 16.6 ล้านคนเมื่อสิ้นปี 2018 เหลือเพียง 17 คนใน 6 ครัวเรือน ก็นำไปสู่กระแสความไม่พอใจในโลกออนไลน์ที่ไม่อาจรักษามาตรฐานการครองชีพของตนเอาไว้ได้เช่นเดิม แต่ก็ยังมีระดับรายได้ไม่ตํ่าพอที่จะขอรับความช่วยเหลือจากภาครัฐ
ที่สำคัญอีกประการหนึ่งก็คือ คนยากจนเหล่านี้ยังมีความแตกต่างด้านเผ่าพันธุ์ เพศ ศาสนา และวัฒนธรรม บางส่วนก็ยังมีปัญหาความยากจน การเมืองทับซ้อนอยู่อีกด้วย อาทิ ทิเบต และซินเจียง ซึ่งทำให้รัฐบาลจีนต้องดำเนินโครง การที่เกี่ยวข้องอย่างรอบคอบ อาทิ การปลดล็อกข้อจำกัดส่วนแรกด้วยการเปิดให้คนในพื้นที่มีอิสระในการนับถือศาสนา และการเดินหน้าแก้ไขปัญหาความยากจนอย่างเข้มข้นคู่ขนานกันไป
ตัวอย่างเช่น ในปี 2019 รัฐบาลทิเบตได้ดำเนินโครงการพัฒนาพื้นที่บนหลักการและเป้าหมายของการแก้ไขปัญหาความยากจน โดยสามารถเพิ่มรายได้เฉลี่ยต่อหัวของชาวทิเบตในเมืองกว่า 10% และในชนบท 13% จากปีก่อน และสร้างงาน 52,000 ตำแหน่ง ทำให้ในเมืองมีอัตราการว่างงานเหลือเพียงราว 3%
ขณะเดียวกัน รัฐบาลซินเจียงได้จัดสรรเงินกว่า 37,560 ล้านหยวนผ่านโครงการมากมายเพื่อการบรรเทาปัญหาความยากจน อาทิ การจัดหานํ้าดื่มสะอาดแก่คนยากจนในพื้นที่รวม 346,000 คน และที่พักปลอดภัย 9,355 ครัวเรือน ทำให้คนซินเจียงจำนวน 645,000 คน ก้าวข้ามเส้นแห่งความยากจน อัตราคนยากจนลดจาก 6.1% เมื่อปีก่อน เหลือ 1.2% เมื่อสิ้นปี 2019
โดยสรุป ในภาพรวมรัฐบาลจีนช่วยให้ประชาชนราว 800 ล้านคนหลุดพ้นจากความยากจนในช่วง 40 ปีที่ผ่านมา เฉลี่ย 20 ล้านคนต่อปี คิดเป็นจำนวนรวมมากกว่าครึ่งหนึ่งของจำนวนประชากรจีนทั้งหมด หรือมากกว่าจำนวนประชากรของยุโรปทั้งทวีป และหากนับเฉพาะช่วง 5 ปีในเทอมแรกของท่านสี จิ้นผิง ก็พบว่า จีนทำให้คนหลุดพ้นจากความยากจนราว 37,000 คนต่อวัน
แน่นอนว่า จำนวนดังกล่าวมากกว่าที่ประเทศใดๆ ในโลก สามารถทำได้ในประวัติศาสตร์โลก คิดเป็นกว่า 70% ของจำนวนโดยรวมของโลก ส่งผลให้องค์กรสหประชาชาติซึ่งให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหาความยากจนและลดความเหลื่อมลํ้า พลอยได้รับผลงานชิ้นโบแดงจากความสำเร็จดังกล่าวไปด้วย
เกี่ยวกับผู้เขียน:
ดร.ไพจิตร วิบูลย์ธนสาร รองประธานและเลขาธิการหอการค้าไทยในจีน ผู้เชี่ยวชาญที่สั่งสมความรู้และประสบการณ์เกี่ยวกับตลาดจีน มุ่งหวังนำข้อมูลและมุมมองความคิดเห็นเกี่ยวกับความเคลื่อนไหวทางเศรษฐกิจ ธุรกิจ การตลาดและอื่น ๆ ที่อยู่ในกระแสของจีนมาแลกเปลี่ยนกับผู้อ่าน เพื่อเราจะไม่ตกขบวน “รถไฟความเร็วสูง” ของการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของจีน