ฟันธงคดีกู้เงิน จุดจบ พรรคอนาคตใหม่

28 ธ.ค. 2562 | 08:00 น.

คอลัมน์ฐานโซไซตี ฐานเศรษฐกิจ ฉบับ 3535 หน้า 4 ระหว่างวันที่ 29 ธ.ค.62 – 1 ม.ค.63 โดย... ว.เชิงดอย

 

ฟันธงคดีกู้เงิน จุดจบ พรรคอนาคตใหม่

 

     ไม่ผิดคาดแต่อย่างใด หลัง “ศาลรัฐธรรมนูญ” มีคำสั่งรับคำร้องที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ยื่นคำร้องขอให้พิจารณาวินิจฉัยเพื่อมีคำสั่งยุบพรรคอนาคตใหม่ ตามมาตรา 92 วรรคหนึ่ง (3) ประกอบมาตรา 72 พ.ร.บ.พรรคการเมือง 2560 กรณีพรรคอนาคตใหม่ กระทำการฝ่าฝืน มาตรา 72 พ.ร.บ.พรรคการเมือง 2560 ที่ห้ามมิให้พรรคการเมืองและผู้ดำรงตำแหน่งในพรรคการเมืองรับบริจาคเงิน ทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใด โดยรู้หรือควรจะรู้ ว่าได้มาโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย หรือมีเหตุอันควรสงสัยว่ามีแหล่งที่มาโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย เมื่อ กกต. มีหลักฐานอันควรเชื่อได้ว่าพรรคอนาคตใหม่ได้กระทำการอันเป็นเหตุให้ศาลรัฐธรรมนูญยุบพรรคอนาคตใหม่ ศาลรัฐธรรมนูญจึงมีคำสั่งรับคำร้องไว้พิจารณาวินิจฉัย พร้อมทั้งแจ้งให้พรรคอนาคตใหม่ทราบ และส่งสำเนาคำร้องให้พรรคอนาคตใหม่ยื่นคำชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาภายใน 15 วันนับแต่วันที่ได้รับสำเนาคำร้อง

     นอกจากนี้ ศาลรัฐธรรมนูญยังได้รับคำร้องที่ ณฐพร โตประยูร ยื่นคำร้องเพื่อขอให้วินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 ว่า การกระทำของ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ  ปิยบุตร แสงกนกกุล และคณะกรรมการบริหาร พรรคอนาคตใหม่ ใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขหรือไม่ โดยคดีนี้มีพยานหลักฐานเพียงพอที่จะพิจารณาวินิจฉัยได้ ไม่จำเป็นต้องทำการไต่สวน  ศาลรัฐธรรมนูญจึงจะได้อภิปรายเพื่อนำไปสู่การวินิจฉัย และนัดอ่านคำวินิจฉัยในวันอังคารที่ 21 ม.ค.63 เวลา 11.30 น.

 

     2 เรื่อง 2 คำร้อง จุดหมายปลายทางของคดีคือ “ยุบพรรคอนาคตใหม่” เช่นเดียวกัน แต่ดู ๆ แล้วคดีที่อนาคตใหม่กู้เงิน 191 ล้านบาท จาก ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ มีเค้าและมีน้ำหนักที่จะนำไปสู่การยุบพรรคได้มากกว่าคดี “ล้มล้างการปกครองฯ” ของ ณฐพร โตประยูร เหตุเพราะ กกต.มีหลักฐานเป็นลายลักษณ์อักษรสัญญากู้เงินที่ ธนาธร ได้ยื่นแจ้งบัญชีทรัพย์สินต่อ ป.ป.ช. เมื่อวันที่ 20 กันยายน 2562 ว่าได้ให้พรรคกู้เงินกว่า 191 ล้านบาท ซึ่งในทาง “ข้อเท็จจริง” ถือว่าจบแล้ว เหลือเพียงการวินิจฉัยข้อกฎหมายเท่านั้น

     คดีอนาคตใหม่กู้เงิน ธนาธร ตามไทม์ไลน์ที่ศาลรัฐธรรมนูญให้ส่งคำชี้แจงภายใน 15 วัน จะตกราววันที่ 9-10 มกราคม 2563 หลังจากนั้นจะเป็นดุลยพินิจของศาลว่ามีข้อมูลหลักฐานเพียงพอที่จะวินิจฉัยได้เลย โดยไม่ต้องเปิดไต่สวนหรือไม่ หากศาลเห็นว่าไม่จำเป็นต้องเปิดไต่สวน ก็คาดว่าอาจจะนัดประชุมเพื่อลงมติได้ราวปลายเดือนมกราคม หรือไม่ก็ต้นเดือนกุมภาพันธ์.... เปิดศักราชใหม่มาการเมืองจะเข้มข้นร้อนแรงแน่นอน เพราะธนาธรและพลพรรคจะต้องเคลื่อนไหวกดดันศาลรัฐธรรมนูญอย่างหนักหน่วง เพราะมีเดิมพันเว้นวรรคการเมือง 5 ปี และคดีอาญาที่จะตามมาจากการถูกยุบพรรครออยู่ข้างหน้า

     ซวยกันยกแผง ทั้ง เบญจา หลุยเจริญ อดีต รมช.คลัง สมัยรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร, จำรัส แหยมสร้อยทอง อดีตผู้อำนวยการสำนักกฎหมาย, โมรีรัตน์ บุญญาศิริ อดีตผู้อำนวยการสำนักกฎหมาย, กริช วิปุลานุสาสน์ ผู้อำนวยการสำนักกฎหมาย กรมสรรพากร และ ปราณี เวชพฤกษ์พิทักษ์ คนใกล้ชิดเลขานุการส่วนตัวของคุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพชร อดีตภริยานายทักษิณ ชินวัตร เมื่อศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง อ่านคำพิพากษาศาลฎีกา สั่งจำคุกกราวรูด คนละ  2 ปี โดยไม่รอลงอาญา กรณีปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบในการประเมินภาษีเอื้อประโยชน์ให้ พานทองแท้ และ พินทองทา ชินวัตร ไม่ต้องเสียภาษีอากร หรือเสียภาษีน้อยกว่า จากกรณีซื้อหุ้นบริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด เมื่อปี 2549

 

     โดยศาลฎีกาชี้ว่า การกระทำของจำเลยแอบแฝงเจตนาที่จะช่วยให้พานทองแท้ และ พินทองทา ไม่ต้องแจ้งรายได้ที่เป็นส่วนต่างการซื้อขายหุ้นที่ราคาต่ำกว่าทุน ซึ่งมีมูลค่ากว่า 15,000 ล้านบาท อีกทั้งยังฟังได้ว่า การที่จำเลยที่ 5 มีหนังสือแจ้งถามข้อหารือมายังกรมสรรพากร ก็เป็นการวางแผนที่เตรียมไว้ในการขายหุ้นกลุ่มชินคอร์ป ให้กับกลุ่มเทมาเสก ประเทศสิงคโปร์ ที่ศาลฏีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เคยวินิจฉัยว่า เจ้าของหุ้นที่แท้จริง คือ ทักษิณ ชินวัตร ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่กรมสรรพากรระดับสูง เคยวินิจฉัย ข้อกฎหมายต่างๆ มา และถือเป็นมันสมองของกรมสรรพากร ขณะที่จำเลยที่ 5 ก็เคยทำงานเกี่ยวกับการตรวจสอบบัญชีและตรวจสอบการประเมินภาษี จึงย่อมรู้ดีว่า การมีหนังสือถามข้อหารือดังกล่าว พานทองแท้ และ พินทองทา สามารถนำไปใช้ประโยชน์ในการยื่นแบบรายได้ประเมินภาษีได้ ศาลฎีกาเห็นว่า การกระทำของจำเลยทั้ง 5 คน ถือว่ามีพฤติการณ์ร้ายแรง จึงไม่สมควรให้รอการลงโทษ แต่เมื่อพิเคราะห์จากคำให้การของจำเลยที่ 1-4 แล้ว เห็นว่ายังมีประโยชน์ต่อการพิจารณา เห็นควรลดโทษให้คนละ 1 ใน 3 คงเหลือจำคุกคนละ 2 ปี ... จุดจบของบริวารที่รับใช้ตระกูล “ชินวัตร” ก็เป็นเช่นนี้แล...

     หันไปดูเรื่องอื่น... วันก่อนได้ข่าว CEO สิงห์ เอสเตท นริศ เชยกลิ่น จัดหนักซื้อหุ้น s อีก 4 ล้านหุ้น แหม่งานนี้ไม่รู้จะทำเพื่อเรียกความเชื่อมั่นให้นักลงทุนรึป่าว แต่ยังไงดูแล้วหุ้น S เป็นหุ้นอนาคตดี ปัจจัยพื้นฐานไม่เปลี่ยนแปลง การันตีด้วย CEO ซื้อเองขนาดนี้ไม่เชื่อไม่ได้แล้ว