อำนาจ จึงกุล กุนซือพรรคอนาคตใหม่

25 ธ.ค. 2562 | 11:00 น.

ข้าพระบาททาสประชาชน ฐานเศรษฐกิจ ฉบับ 3534 หน้า 6 ระหว่างวันที่ 26-28 ธ.ค.2562 โดย... ประพันธุ์ คูณมี


อำนาจ จึงกุล
กุนซือพรรคอนาคตใหม่


          เพราะมีการชุมนุมที่จัดโดย นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ที่เรียกว่า flash mob เมื่อเย็นวันที่ 14 ธันวาคม 2562 บริเวณสกายวอล์ก สี่แยกปทุมวัน จึงทำให้ผู้เขียนได้มีโอกาสพบเห็นหน้าเพื่อนเก่าๆ อดีตคนยุค 14 ตุลาคม 2516 ที่เคยเป็นมิตรสหายร่วมอุดมการณ์ทางการเมืองเดียวกัน สมัยเมื่อครั้งยังเป็นนักศึกษาในมหาวิทยาลัย ที่หนีการล้อมปราบของรัฐบาลทหารยุคนั้น ในเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 เข้าป่าไปร่วมมือกับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยอีกครั้งหนึ่ง
          โดยเมื่อมีนโยบายและคำสั่งที่ 66/2523 ของ พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ นายกรัฐมนตรีขณะนั้น พวกเราจึงได้ออกจากป่ากลับจากวนาสู่นาคร คืนสู่เมืองกลับมาเรียนหนังสือในมหาวิทยาลัยอีกครั้ง มาประกอบสัมมาชีพบ้าง รับราชการบ้าง หรือบางคนก็ลงเล่นการเมือง จนมีตำแหน่งทางการเมือง เป็น ส.ส., ส.ว. หรือรัฐมนตรี มากมายหลายคน ดังที่เห็นและทราบโดยทั่วไป
          ในการชุมนุมย่อยวันนั้น ทำให้ได้มีโอกาสเห็นหน้าตาเพื่อนๆ อีกครั้ง ซึ่งมีอดีตคนเดือนตุลาและอดีตคนที่เคยเข้าป่าจับปืน ที่เปลี่ยนบทบาทกลับมายืนเคียงข้างและห้อมล้อม นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ หลายคน ซึ่งล้วนเป็นคนที่ผู้เขียนคุ้นเคยรู้จักมาก่อน
          คนที่ผมรู้จักและคุ้นเคยมากที่สุดคนหนึ่งคือ คุณอำนาจ จึงกุล ชื่อเดิมเมื่อครั้งเป็นนักศึกษาธรรมศาสตร์ แต่บัดนี้ได้เปลี่ยนนามสกุลใหม่เป็น คุณอำนาจ สถาวรฤทธิ์ คือภาพชายสูงวัยที่สวมชุดสีเข้ม ยืนอยู่ลำดับที่ 4 ต่อจากป๋วย ชื่อเล่นของ นายไพรัฏฐโชติก์ จันทรขจร น้องชายของ วัชรพันธ์ จันทรขจร ซึ่งเป็นอดีตหัวหน้าการ์ด นายทักษิณ ชินวัตร บุคคลทั้ง 2 ที่อยู่ห้อมล้อมข้างกายนายธนาธร ตามภาพ ขณะยืนปราศรัยกับผู้ชุมนุมนั้น ต่างเคยเข้าป่าจับปืนร่วมกับพรรคคอมมิวนิสต์ฯ มาแล้ว รวมถึง วัชรพันธ์ จันทรขจร พี่ชายของป๋วยก็เช่นกัน
          ผมได้ทราบจากข่าวและรายงานของหนังสือพิมพ์มติชนว่า อำนาจ สถาวรฤทธิ์ หรือ อำนาจ จึงกุล ที่ผมรู้จักและเป็นเพื่อนร่วมงานทางการเมืองนั้น ได้รับแต่งตั้งจาก นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ให้เป็น “ที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ฝ่ายการเมือง” เมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน 2561 ผมจึงไม่แปลกใจ เพราะว่า “อำนาจ” เป็นเพื่อนคนหนึ่งที่ครํ่าหวอดอยู่ในแวดวงงานการเมืองมายาวนาน แวะเวียนเข้าออกมาหลายพรรคการเมือง ไม่ว่า ประชาธิปัตย์, ความหวังใหม่ และ ไทยรักไทย หรือ เพื่อไทย ทั้งในฐานะผู้สมัครรับเลือกตั้ง หรือในฐานะผู้ปฏิบัติงานในตำแหน่ง สำคัญๆ ของพรรคการเมืองเหล่านั้น ตำแหน่งที่อำนาจได้รับแต่งตั้งจากพรรคอนาคตใหม่ดังกล่าว จึงเปรียบเหมือนเป็น “กุนซือทางการเมือง” แก่หัวหน้าพรรคนั่นเอง

          ย้อนอดีตไปเมื่อปี 2517 หลังเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 นักศึกษามีการเข้าร่วมกิจกรรมทางการเมือง ค่อนข้างกว้างขวางคึกคักในทุกมหา วิทยาลัย ภายใต้บรรยากาศประชาธิปไตยเบ่งบานของยุคนั้น นอกจากมีศูนย์กลางนิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย ที่มี อาจารย์ธีรยุทธ บุญมี และต่อมาเป็น ดร.สมบัติ ธำรงธัญวงศ์ เป็นเลขาธิการแล้ว นักศึกษากลุ่มใหญ่อีกกลุ่มที่นำโดย ดร.เสกสรรค์ ประเสริฐกุล ก็ได้ร่วมกันจัดตั้งสหพันธ์นักศึกษาเสรีแห่งประเทศไทย ขึ้นมาอีกองค์กรหนึ่ง ผมและคุณอำนาจจึงได้มาพบและรู้จักเป็นเพื่อนสนิทที่สหพันธ์นักศึกษาเสรี
          อำนาจ เป็นคนเอาการเอางานมากคนหนึ่ง และมีบทบาทเป็นแกนนำสำคัญของสหพันธ์ และเป็นผู้ชักชวนผมให้ลงไปทำงานกับพี่น้องชาวนาชาวไร่ ที่จังหวัดพิษณุโลกและภาคกลาง แต่ต่อมาในช่วงหลังๆอำนาจถอยห่างออกไปทำงานอื่น งานชาวนาทั้งหมดผมจึงรับผิดชอบกับเพื่อนๆ คนอื่นแต่ผู้เดียว จนถึงการก่อตั้งสหพันธ์ชาวนาชาวไร่แห่งประเทศไทยที่มีบทบาทเรียกร้องนำปัญหาชาวนาชาวไร่ มาเสนอ ให้รัฐบาลอาจารย์สัญญา ธรรมศักดิ์ ช่วยแก้ไข จนเป็นที่มาของ พ.ร.บ.ควบคุมค่าเช่านาฯ และ พ.ร.บ.ปฏิรูปที่ดินฯ ปี 2518 ที่ใช้บังคับถึงปัจจุบัน
          ช่วงเวลาระหว่างปี 2518-2519 อำนาจได้ทำงานเป็นสมาชิกขององค์กรสันนิบาตเยาวชน (สยช.) ซึ่งเป็นองค์กรจัดตั้งของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย ที่คัดเลือกเอาเยาวชนที่ดีเด่นและเอาการเอางาน ตามแนวทางของพรรคให้เข้ามาเป็นสมาชิก เพื่อบ่มเพาะและทดสอบให้ทำงาน ปฏิบัติภารกิจทางการเมือง ก่อนที่จะรับเข้าเป็นสมาชิกพรรค ซึ่งต่อมาอำนาจก็ได้มาเชิญชวน เรียกว่ามาจัดตั้งให้พวกเราอีกหลายคนเข้าเป็นสมาชิก สยช. ด้วย และก็เป็น อำนาจ จึงกุล นักศึกษาคณะนิติศาสตร์ ธรรมศาสตร์ ชื่อและนามสกุลขณะนั้น คนนี้นี่เองที่ชวนพวกเราเข้าป่าไปร่วมกับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย
          การเข้ามาเป็นที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ฝ่ายการเมือง ของคุณอำนาจ จึงมีบทบาทและความสำคัญอย่างยิ่งในทางการเมือง ต่อ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ และ พรรคอนาคตใหม่ ดังจะเห็นคุณอำนาจ ได้ปรากฏกายเคียงข้างนายธนาธร ในแทบทุกๆ เวทีทางการเมือง ไม่ว่าการประชุมพรรคเพื่อพิจารณาในเรื่องสำคัญๆ จนกระทั่งถึงเวทีการชุมนุมที่พรรคจัดขึ้นในแทบทุกๆ ครั้ง คุณอำนาจ เล่าให้มติชนฟังว่า “การที่ย้ายมาพรรคอนาคตใหม่ ตกลงใจมาเองเพราะเห็นแนวนโยบายและอุดมการณ์ตรงกัน จึงมาร่วมงานกับน้องๆ ในพรรคนี้ เพื่อส่งไม้ต่อทางด้านความรู้และประสบการณ์ทางการเมือง เพื่อร่วมกันต่อสู้บนยุทธศาสตร์ใหม่ คือ “อ่อนสู้แข็ง น้อยสู้มากเล็กสู้ใหญ่ และใหม่สู้เก่า”
    

          เมื่อพิจารณาจากแนวคิดของคุณอำนาจ กุนซือทางการเมืองของนายธนาธร และพรรคอนาคตใหม่แล้ว จึงเป็นการนำแนวคิดยุทธศาสตร์ ยุทธวิธี ของประธาน เหมา เจ๋อ ตุง เมื่อครั้งทำสงครามปลดปล่อยประเทศจีน ในการต่อสู้กับกองทัพญี่ปุ่นที่รุกรานจีนและกองทัพก๊กมินตั๋ง ที่เข้มแข็งของเจียงไค เช็ค มาใช้เป็นแนวทางทางการเมือง
          และที่บอกว่าอุดมการณ์ตรงกัน คงเป็นเพราะ ธนาธร-ปิยบุตร 2 คู่หู ยังยึดมั่นในอุดมการณ์ของคณะราษฎร ในการเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 ที่ทั้ง 2 อยากสานต่อภารกิจให้สำเร็จกระมัง จึงทำให้แนวคิดอดีตซ้ายคอมมิวนิสต์เก่า กับคนรุ่นใหม่ที่ฝักใฝ่การเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 กลายมาเป็นพันธมิตร และมิตรร่วมรบกันอย่างเหนียวแน่นในสนามการเมืองปัจจุบัน
          ดังจะเห็นว่า พรรคอนาคตใหม่ คือที่รวมของฝ่ายซ้ายเก่า ซึ่งแนวคิดดังกล่าวนี้ จะสอดคล้องกับบริบททางการเมือง และสภาพของสังคมไทยหรือไม่ กาลเวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์ เพราะคนที่มีแนวคิดเช่นนี้ ผู้เขียนยังไม่เคยเห็นใครประสบความสำเร็จ ส่วนใหญ่ล้วนแต่มีชะตากรรม ที่ไร้แผ่นดินอยู่ทั้งสิ้น
          ผมและคุณอำนาจไม่ได้พบปะกันเป็นเวลายาวนานมาก นับแต่เขาได้เข้าร่วมกับขบวนการของพรรคไทยรักไทย และพรรคเพื่อไทย เป็นต้นมา สาเหตุเพราะเราต่างมีอุดมการณ์ทางการเมืองที่แตกต่างกัน แม้ว่าผมจะเคยเป็นอดีตคนที่เคยเข้าป่า และเคยร่วมขบวนการกับพรรคคอมมิวนิสต์ฯ เช่นเดียวกับคุณอำนาจมาก่อน แต่ก็เป็นซ้ายรอยัลลิสต์ ที่ได้เปลี่ยนความคิดและอุดมการณ์ไปแล้ว เพราะเห็นว่าแนวทางของคุณอำนาจ กับนายธนาธร น่าจะไม่สอดคล้องกับสังคมไทย เพราะเมืองไทยมีลักษณะพิเศษเฉพาะ
          การเปลี่ยนแปลงใดๆ ในประเทศนี้ จำต้องสอดคล้องกับลักษณะประวัติศาสตร์ และบริบททางสังคมของไทย จะลอกเลียนจีน หรือประเทศอื่นมาทั้งดุ้นคงไม่ได้ ดังจะเห็นว่าแม้จีนเป็นสังคมนิยม แต่เศรษฐกิจก็เปลี่ยนเป็นทุนนิยม ที่เรียกว่า “เป็นเศรษฐกิจแบบตลาดสังคมนิยม” จึงกลายเป็นประเทศเศรษฐกิจใหญ่อันดับ 2 ของโลก อันเป็นลักษณะเฉพาะของจีน
          เพราะความคิดและความเห็นต่าง ผมจึงได้ประกาศตนเองว่า “ชีวิตนี้ขอเป็นข้าพระบาท ทาสประชาชน” เพราะการจะเปลี่ยนแปลงประเทศไทยหรือสังคมไทยอย่างไรก็ตาม ประเทศไทยต้องดำรงไว้ซึ่ง “สถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์” และคงลักษณะพิเศษของความเป็นไทย ซึ่งก็สามารถทำให้ประเทศไทยมีเศรษฐกิจที่เจริญรุ่งเรืองได้ ขอเพียงให้ผู้บริหารประเทศซื่อสัตย์ ไม่คดโกงเหมือนในอดีตที่ผ่านมา เราก็จะสามารถเดินหน้าประเทศไทย ให้ก้าวไกลไปได้ร่วมกัน