“รัฐเชียงกง” ฉายารัฐบาลประจำปี 2562 ที่ผู้สื่อข่าวประจำทำเนียบรัฐบาล ตั้งฉายารัฐบาล พร้อม 10 รัฐมนตรี หลังว่างเว้นมา 6 ปี ส่วนบิ๊กตู่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ได้ฉายา “อิเหนาเมาหมัด” เป็นการยกคำสุภาษิตไทย ว่าแต่เขาอิเหนาเป็นเอง เปรียบแนวทางปฏิบัติ และนโยบายของนายกรัฐมนตรี ที่เห็นได้ชัดหลายเรื่อง มักจะตำหนิหรือไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีต และสุดท้ายก็กลับมาทำเอง เช่น โครงการลักษณะประชานิยม บอกไม่เป็นนายกฯ สุดท้ายก็กลับมา, ไม่อยากเล่นการเมือง ก็หนีไม่พ้นฯ
ส่วนรมต.ท่านอื่นๆ อีก 9 ท่าน ก็หาอ่านได้จากข่าวตามช่องทางอื่นที่สามารถหาอ่านได้ไม่ยาก แต่โอกาสนี้ผมจึงรวบรวมฉายาของนายกรัฐมนตรีก่อนหน้านายกฯลุงตู่ มาให้พอเห็นภาพการเมืองในอดีต
ปี 2555 “พี่ชายคนแรก” คือฉายารัฐบาลของ นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นฉายาภาคต่อของฉายา “ทักษิณส่วนหน้า” ในปี 2554 ล้อมาจากนโยบาย “รถคันแรก” และ “บ้านหลังแรก” ของรัฐบาล เพราะรัฐบาลชุดนี้บริหารประเทศภายใต้เงาของ พี่ชาย พี่สาว รวมทั้งปัญหาต่างๆ ที่เข้ามาก็มาจากเรื่องของพี่ ทำให้ปัญหาปากท้องประชาชน ข้อครหาเรื่องทุจริตไม่ได้รับการแก้ไขอย่างที่ควรจะเป็น เพราะรัฐบาลมัวแต่ยุ่งอยู่กับ “พี่ชาย” เรื่องของพี่ต้องมาก่อนเป็นอันดับแรกนั่นเอง
และตัวของนางสาวยิ่งลักษณ์ เองได้ฉายา “ปูกรรเชียง” ก็เป็นภาคต่อของปี 2554 ที่คว้าฉายา “นายกฯ นกแก้ว” เพราะชอบท่องสคริปต์ แต่ “ปูกรรเชียง” โดยล้อมาจากชื่อเล่น “ปู” ของนายกฯ ที่มีลักษณะเดินเซไปเซมา ไม่ตรงทาง เหมือนกับการบริหารงานที่ต้องแบกรับภาระ และใบสั่งจากพี่ชายที่ชื่อทักษิณ และพี่สาวที่ชื่อ เจ๊ ด. ทำให้ไม่เห็นผลงานเป็นรูปธรรม และเมื่อเกิดปัญหาทางการเมืองขึ้น เจ้าตัวก็มักจะตีกรรเชียงลอยตัวหนีปัญหา จนถูกฝ่ายค้านวิจารณ์อยู่เรื่อยๆ
ส่วนยุค อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ปี 2552 ได้ฉายารัฐบาล “ใครเข้มแข็ง?” มาจากการประกาศแผนปฏิบัติการ “ไทยเข้มแข็ง” เพื่อลงทุนยกเครื่องประเทศครั้งใหญ่ ภายใต้ พ.ร.บ. และพ.ร.ก.เงินกู้รวม 8 แสนล้านบาท นำมาสู่การวิพากษ์วิจารณ์เรื่องความโปร่งใส และการตั้งคำถามตัวโตๆ ว่า การกู้เงินมากขนาดนี้มีการเอื้อประโยชน์ฝ่ายใด หรือไม่ จนนำมาซึ่งคำถามว่า ใครเข้มแข็ง
ส่วนนายอภิสิทธิ์ ได้รับฉายา “หล่อหลักลอย” จากภาพลักษณ์หน้าตาดี การศึกษาดี และเมื่อรับตำแหน่งได้ประกาศกฎเหล็ก 9 ข้อ ให้คณะรัฐมนตรี ต้องมีความรับผิดชอบทางการเมืองมากกว่าความรับผิดชอบทางกฎหมาย แต่เมื่อมีรัฐมนตรีบางคนมีปัญหาเรื่องข้อกฎหมาย หรือมีปัญหาเรื่องความไม่โปร่งใส กลับไม่ได้แสดงความรับผิดชอบทางการเมือง หลักที่เคยประกาศไว้จึงเหมือนคำพูดที่เลื่อนลอย ไม่เป็นไปตามหลักการที่วางไว้
ต่อมาปี 2553 นายอภิสิทธิ์ ได้รับฉายารัฐบาลว่า “รัฐบาลรอดฉุกเฉิน” เพราะต้องเผชิญกับวิกฤติหลายด้าน จนต้องประกาศใช้ พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 เพื่อควบคุมสถานการณ์ จนสุดท้ายรอดจากวิกฤติต่างๆ รวมทั้งรอดพ้นจากคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ ขณะที่นายอภิสิทธิ์ ได้รับฉายาว่า “ซีมาร์คโลชัน” เพราะการปฏิบัติหน้าที่ทำได้เพียงเป็นการบรรเทาโรค ไม่ต่างจาก “ซีม่าโลชัน” ทาแก้คันเท่านั้น
แต่สิ่งที่ผมอยากจะยํ้าตอนท้ายกับคุณผู้อ่าน คือ การตั้งฉายารัฐบาลและรัฐมนตรีประจำปีสื่อทำเนียบ เป็นธรรมเนียมปฏิบัติสืบต่อกันมา เพื่อสะท้อนความคิดเห็นของสื่อมวลชนต่อการทำงานรัฐบาล จากประสบการณ์การทำงานที่ปรากฏต่อสื่อสาธารณะ โดยมิได้มีอคติ หรือเป็นความเห็นส่วนตัวของผู้ใดผู้หนึ่ง ทั้งหมดเกิดจากมติส่วนรวมของสื่อมวลชนนะครับผม
คอลัมน์อินไซด์สนามข่าว โดย : จีรพงษ์ ประเสริฐพลกรัง
หน้า 14 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 3,534 วันที่ 26-28 ธันวาคม 2562