พ่ายแพ้ทางการเมือง คือแพ้ทุกสิ่งทุกอย่าง

27 พ.ย. 2562 | 11:00 น.

คอลัมน์ข้าพระบาททาสประชาชน ฉบับ 3526 หน้า 6 ระหว่างวันที่ 28-30 พ.ย.2562 โดย...ประพันธุ์คูณมี

 

พ่ายแพ้ทางการเมือง

คือแพ้ทุกสิ่งทุกอย่าง

 

          การก่อเกิดพรรคการเมืองของคนรุ่นใหม่ ภายใต้ชื่อ พรรคอนาคตใหม่ ที่มี นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ เป็นหัวหน้าพรรค นายปิยบุตร แสงกนกกุล เป็นเลขาธิการพรรค และ คุณช่อ พรรณิการ์ วานิช เป็นโฆษกพรรค พร้อมด้วยพลพรรคคนรุ่นใหม่ไฟแรงทางการเมืองอันเป็นการเกิดขึ้นของพรรคการเมืองที่ชูธงประชาธิปไตยเพื่อต้านอำนาจ คสช.พร้อมเสนอแนวคิดใหม่หลายเรื่องที่น่าตื่นตาตื่นใจอย่างยิ่ง

          การรวมกำลังเพื่อสร้างพรรคการเมือง เข้าสู่กระบวนการเลือกตั้งตามวิถีทางรัฐสภาภายใต้รัฐธรรมนูญ โดยไม่ใช้ความรุนแรงนอกกติกา ย่อมได้รับการยอมรับจากสังคม พวกเขาได้เสนอตนเป็นทางเลือกใหม่ อนาคตใหม่ต่อสังคมหลายเรื่องหลายประเด็นที่น่าตื่นตาตื่นใจ เมื่อปรากฏผลจากการเลือกตั้งทั่วไป เมื่อ วันที่ 24 มีนาคม 2562 พรรคนี้สามารถได้รับเลือกตั้ง ทั้ง ส.ส.เขตและแบบบัญชีรายชื่อถึง 80 เสียง ซึ่งก็น่าจะเป็นกำลังใจให้เขามุ่งมั่นทำงานเพื่อประโยชน์ประเทศชาติและประชาชน สร้างพรรคขยายพรรคให้มั่นคงเข้มแข็ง สร้างความนิยมและศรัทธาจากประชาชนให้มากยิ่งขึ้น

          แต่สถานการณ์และบทบาทของพรรคกลับหาได้เป็นเช่นนั้น ผลจากการเลือกตั้งทำให้พวกเขาฮึกเหิมและลำพองใจ ต่อชัยชนะทางการเมืองที่ได้มาจากการเลือกตั้ง ด้วยการแสดงบทบาททางการเมือง เพื่อให้เป็นข่าวและมีบทบาทโดดเด่น ทั้งในสภาและนอกสภา โดยมิได้สนใจและใส่ใจต่อปฏิกิริยา ความรู้สึกที่ไม่พอใจหรือความคิดเห็นต่างของผู้คนในสังคม

 

          ผู้เขียนเฝ้ามองและติดตามบทบาท ความเคลื่อนไหวทางการเมืองของพรรคอนาคตใหม่ ด้วยความสนใจอย่างยิ่ง ในเบื้องต้นยังแอบให้กำลังใจ เพื่อให้พวกเขาเดินทางไปในทิศทางที่ก้าวหน้า ที่ถูกต้องดีงาม สร้างสรรค์เพื่อสังคมไทยใหม่ แต่มาถึงวันนี้น่าจะบอกได้ว่า “อนาคตหมดอนาคตไหม้” เสียแล้วครับ สาเหตุทั้งหมดมาจาก “ความพ่ายแพ้ทางการเมือง” ที่พวกเขาก่อขึ้นเองทั้งสิ้น แม้ชนะเลือกตั้งแต่พ่ายแพ้ทางการเมือง จากมีก็กลายเป็นไม่มีและหมดอนาคตทางการเมืองไปอย่างน่าเสียดาย และมิอาจโทษใครได้

          หากว่าเราจะศึกษาสัจจะจากความเป็นจริงก็จะพบว่า (1) พรรคการเมืองพรรคนี้ แกนนำหลักๆ หลายคนมาจากคนที่มีแนวคิดต่อต้านสถาบันพระมหากษัตริย์ ที่เคยแสดงบทบาทและแนวคิดเช่นนี้ต่อสังคม เมื่อเข้าสู่ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข พวกเขายังมิอาจล้างภาพเก่านี้ได้ และดูเหมือนมิได้พยายาม กลับมีพฤติกรรมไปในทางตอกยํ้าให้ผู้คนยิ่งเชื่อเช่นนั้น

          (2) นายธนาธรและหลายคนเคยเข้าร่วมกับกลุ่มคนเสื้อแดงในการชุมนุมที่ก่อความรุนแรง จนเกิดเหตุเผาบ้านเผาเมือง

          (3) พวกเขาชูธงประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการ คสช. ทั้งที่ความเป็นจริง คสช.มิได้มีพฤติกรรมใดที่ส่อว่าเป็นเผด็จการที่โหดร้ายป่าเถื่อน ใช้อำนาจโดยกดขี่ขูดรีดและริดรอนสิทธิเสรีภาพประชาชน เยี่ยงเผด็จการ อื่นๆ ในอดีต ประชาชนส่วนใหญ่เชื่อว่า คสช.เข้ามากู้วิกฤติและยุติความรุนแรงของบ้านเมือง หยุดอำนาจโกงของนักการเมือง

          การที่พวกเขามองข้ามและไม่พูดถึงเลย คือพฤติกรรมอันเลวร้ายของนักการเมืองจากการเลือกตั้ง ที่ใช้อำนาจโดยไม่ชอบ ทุจริตโกงกินสร้างความเสียหายกับบ้านเมือง เล่นการเมืองที่ลุแก่อำนาจ ทำให้บ้านเมืองวิกฤติ ใช้ความรุนแรงกับประชาชน ออกกฎหมายนิรโทษความผิดให้ตน จนเกิดการชุมนุมคัดค้านไปทั้งประเทศ บ้านเมืองจลาจลวุ่นวาย จนประเทศติดหล่มเดินหน้าไม่ได้ จึงขัดแย้งต่อความเห็นของคนส่วนใหญ่ของสังคม

 

          (4) เมื่อได้รับเลือกตั้ง ได้โอกาสจากประชาชน กลับไม่เคยสนใจทำงานการเมือง แก้ไขปัญหาที่เป็นความเรียกร้องต้องการของประชาชน สนใจแต่ประเด็นการเมือง โจมตีแต่เรื่องอดีตของรัฐบาลทหาร ทั้งที่เข้าสู่โหมดเลือกตั้งแล้ว สนใจแต่จะแก้รัฐธรรมนูญ แต่ไม่สนใจแก้ปัญหาปากท้องเรื่องใกล้ตัวประชาชน และไม่สนใจแก้นิสัยตนเองให้เป็นที่รักและไว้วางใจของประชาชน ตรงกันข้ามกลับเปิดศึกกับประชาชนทุกหมู่เหล่า แถมสร้างขบวนการสาวกออกมาโจมตีด่าทอคนที่เห็นต่าง หรือเสนอแนะด้วยหวังดี ด้วยความหยาบคายทำลายมิตรทำลายแนวร่วม

          (5) หัวหน้าพรรคและแกนนำสำคัญ กระทำผิดกฎหมาย ไม่เคารพรัฐธรรมนูญเสียเอง ไม่ว่ากรณีถือครองหุ้นสื่อ ไม่จัดการทรัพย์สินของตนให้เรียบร้อย ก่อนเข้าสู่อำนาจทางการเมือง เมื่อต้องคดีถูกกล่าวหา ก็แก้คดีไม่รอดจนศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้ขาดคุณสมบัติ พ้นสภาพ ส.ส.และยังต้องมีคดีอื่นๆ ตามมาอีกหลายคดี ไม่ว่าการให้พรรคกู้เงินหลายร้อยล้านบาท ที่อาจนำไปสู่การยุบพรรคและอาจต้องรับโทษทางอาญา

          ด้วยพฤติกรรมดังกล่าว รวมถึงการเดินเกมการเมือง ที่มีแต่มุ่งไปสู่การปลุกระดมทางการเมือง สร้างแต่วาทกรรมที่ส่อไปในทางสร้างความขัดแย้งในสังคม ดึงต่างชาติมายุ่งเกี่ยวการเมืองในประเทศ จนถูกกล่าวหาว่าชักศึกเข้าบ้านก็ดี มีพฤติกรรมชังชาติก็ดี ท่าทีแสดงออกไปแต่ในทางเย่อหยิ่งทะนงตน คิดแต่ว่าตนเก่ง ถูกต้องแต่ฝ่ายเดียว มองทุกเรื่องเข้าข้างตนเอง โทษแต่ผู้อื่น มิได้สำรวจความบกพร่องของตนแม้แต่น้อย เหล่านี้ ทำให้พรรคอนาคตใหม่แพ้ภัยตนเอง และที่สำคัญคือ “พ่ายแพ้ทางการเมือง” ในทุกๆ แนวรบ นั่นคือ สูญเสียความเชื่อมั่นศรัทธาจากมหาชน ฐานความนิยมของมวลชนแคบลงเหลือน้อยลงทุกที

          ด้วยเหตุนี้แหละ นักยุทธศาสตร์ ยุทธวิธี ผู้นำการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงสังคมที่ยิ่งใหญ่อย่าง เหมา เจ๋อ ตุง จึงได้สรุปเป็นบทเรียนที่ยิ่งใหญ่ แก่สมาชิกพรรคและผู้ปฏิบัติของเขาว่า “การเมืองเป็นปัจจัยชี้ขาดทุกสิ่งทุกอย่าง ชนะทางการเมืองก็ชนะทุกสิ่งทุกอย่าง แพ้ทางการเมืองก็แพ้ทุกสิ่งทุกอย่าง” หากนำคำสอนนี้มาใช้ประกอบกับบทเรียนของนายปรีดี พนมยงค์ ที่สรุปเป็นบทเรียนแก่คนรุ่นหลังว่า “เมื่อข้าพเจ้ามีอำนาจ ข้าพเจ้ายังขาดประสบการณ์ แต่ครั้นเมื่อข้าพเจ้ามีประสบการณ์ ข้าพเจ้าก็ไม่มีอำนาจ” ก็จะทำให้พรรคการเมืองพรรคนี้ ไม่เดินทางเข้ารกเข้าพง

          พรรคอนาคตใหม่ จึงควรหยุดโทษคนอื่น โยนความผิดกล่าวหาคนภายนอก โทษขบวนการทำลายตนเสีย หันมามองและสำรวจตนเอง กล้าสำรวจและวิจารณ์ตนเองอย่างตรงไปตรงมา สรุปบทเรียนทางการเมืองเสียใหม่ ฟังความคิดเห็นผู้อื่นเสียบ้าง การเดินทางไกลจะได้ไม่ลงเหว หรือเดินทางไกลไปสู่คุกตะราง ยังไม่สายหากคิดดีทำดีครับ