ปฎิบัติการปูพรมส่งออกเหล็กของจีนไปทั่วโลกยังน่าติดตาม ขณะนี้เพียง 9 เดือนแรกปี2562 หรือระหว่างเดือนมกราคมถึงเดือนกันยายน จีนมีปริมาณส่งออกผลิตภัณฑ์เหล็กไปทั่วโลก แล้วจำนวน 55 ล้านตัน ลดลง 3% จากปีก่อน และปริมาณที่ส่งส่งออกคิดเป็น 7.3% ของผลผลิต
ที่สำคัญการส่งออกเหล็กจากจีนมายังประเทศในกลุ่มอาเซียน ในช่วง 9 เดือนแรก ปี 2562 จำนวน 17.98 ล้านตัน ลดลง 7% แต่ส่งออกมาไทยกลับพุ่งสูงขึ้นถึง 14% (ดูกราฟิก “เปิดสถานะการส่งออกเหล็กของจีน”) ขณะเดียวกันจีนส่งออกผลิตภัณฑ์เหล็กไปสหรัฐฯ ลดลง 24% และส่งออกไปสหภาพยุโรปลดลง 14%
เมื่อมาดูในช่วง 9 เดือนแรก ปี 2562 จีนผลิตเหล็กในประเทศ ได้จริงจำนวน 748 ล้านตัน เพิ่มขึ้น 8% จากช่วงเดียวกันในปี 2561 โดยจีนมีขีดความสามารถในการผลิตเหล็กได้มากถึง 1,200 ล้านตัน ก้าวขึ้นมาเป็นผู้ผลิตรายใหญ่เบอร์ 1 ของโลกแซงหน้าอินเดียไปก่อนหน้านี้แล้ว
เมื่อ 2-3 ปีก่อน รัฐบาลจีนออกมาประกาศยกเลิกการหลอมเศษเหล็กด้วยระบบ Induction Furnace หรือ IF เป็นระบบผลิตที่หลายประเทศไม่ใช้แล้ว เพราะสร้างปัญหาสิ่งแวดล้อมภายในประเทศ ทำให้มีปริมาณเหล็กหายไปจากจีนมากกว่า 100 ล้านตัน โดยจีนนำกำลังผลิตที่ยกเลิกนี้ออกมาปักฐานผลิตใหม่ในอาเซียนซึ่งรวมถึงประเทศไทยด้วย
ล่าสุดผู้ประกอบการที่อยู่ในวงการเหล็กต้องหันมาโฟกัสจีนอีกครั้งแบบไม่กระพริบตา!!! เพราะตัวเลขปริมาณการผลิตในจีนที่เพิ่มขึ้น8% นั้นที่แท้เป็นกำลังการผลิตที่ออกมาชดเชย กำลังผลิตเมื่อ2ปีก่อนที่จีนสั่งเลิกผลิตเหล็กแบบ IFไปราว 140 ล้านตัน ว่ากันว่าเป็นปริมาณที่เพิ่มขึ้นสูงกว่ายอดผลิตที่หายไปก่อนหน้านั้นด้วย
เมื่อโฟกัสกลับมาที่ประเทศไทย มาดูสถานะอุตสาหกรรมเหล็กของไทย พบว่าความต้องการใช้เหล็กช่วง 9 เดือนแรก ปี 2562 จำนวน 14.01 ล้านตัน ลดลง 5% และการผลิตเหล็กของผู้ผลิตภายในประเทศลดลง 19% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันกับปีก่อน ที่สำคัญการนำเข้าเหล็กจากทั่วโลกของไทยเพิ่มขึ้น 4% (ดูกราฟิก “เหล็กนำเข้ากลืนตลาดในประเทศไทย”) โดยเฉพาะการส่งออกเหล็กจากจีนมาประเทศไทย ช่วง 9 เดือนแรก ปี 2562 จำนวน 3.1 ล้านตัน เพิ่มขึ้น 14% แบ่งเป็น ผลิตภัณฑ์เหล็ก จำนวน 2.95 ล้านตัน เพิ่มขึ้น 10% และโครงสร้างเหล็ก จำนวน 0.18 ล้านตัน เพิ่มขึ้น 164%
-ฟังเสียงเอกชนสะท้อนกลับ
นายกรกฏ ผดุงจิตต์ เลขาธิการกลุ่มอุตสาหกรรมเหล็ก สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(ส.อ.ท.) กล่าวแสดงความเห็นผ่าน “ฐานเศรษฐกิจ” โดยตั้งข้อสังเกตว่า เข้าใจเหตุผลแล้วว่าทำไมอินเดียไม่ยอมเข้าร่วมลงนามประกาศความสำเร็จสรุปผลการเจรจาความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (อาร์เซ็ป)กับสมาชิกอีก 15 ประเทศ ในช่วงการประชุมอาเซียนซัมมิทที่ไทยเป็นเจ้าภาพทั้งที่อินเดียเป็นผู้ผลิตเหล็กเบอร์2 ของโลก ตรงนี้ตั้งข้อสังเกตส่วนตัวว่า อินเดียกลัวปัญหาการแข่งขันกับจีนที่จะตามมา
ด้านนายพงษ์เทพ เทพบางจาก นายกสมาคมผู้ผลิตเหล็กแผ่นเคลือบสังกะสี กล่าวว่า ปัญหาของไทยในวันนี้จะมาพูดเรื่องมาตรการตอบโต้การทุ่มตลาด(Anti-dumping: AD) , มาตรการตอบโต้การหลบเลี่ยงมาตรการทุ่มตลาดและการอุดหนุน หรือ Anti-Circumvention (AC) ที่โต้กันไปมาระหว่างฝ่ายผู้ผลิตกับผู้นำเข้า และรัฐบาล คงไม่เกิดประโยชน์แล้ว เพราะเวลานี้เป็นมุมความเดือดร้อนของผู้ประกอบการที่แข่งขันยากขึ้นและผู้บริโภคที่จะได้รับผลกระทบจากเหล็กคุณภาพต่ำจากที่นำเข้ามา
“เราอาจเห็นอุตสาหกรรมหลายๆอุตสาหกรรมไม่เฉพาะเหล็กทยอยปิด คนตกงาน ตัวคูณทางเศรษฐกิจที่มีน้ำหนักมากๆที่จะไปเพิ่มGDP จะค่อยๆหมดไป นักเรียนที่เราส่งเสริมให้เรียนช่างเทคนิคยังจำเป็นอีกมั้ย ถ้ารัฐเปิดให้จีนเข้ามาง่ายมากทั้งผลิตและนำเข้าทั้งในรูปแบบเดิมหรือรูปแบบการค้าสมัยใหม่ เหนื่อย และสุดท้ายก็น่าสงสารรุ่นลูกรุ่นหลานในอนาคตมากกว่า”
สำหรับประเทศไทย ขณะนี้ผู้ผลิตเหล็กต่างรัดเข็มขัด เพราะใช้กำลังผลิตจริงกันไม่ถึง 50% ปัจจุบันมีการนำเข้ามาจำนวนมากขึ้น เวลานี้ต้องยอมรับว่า อุตสาหกรรมเหล็กไม่ได้ถูกดิจิทัลดิสรัปชั่น เหมือนอุตสาหกรรมอื่น แต่เป็นเรื่องของนโยบายของรัฐบาลล้วนๆที่ไม่เข้าใจภาพรวมของอุตสาหกรรมที่เป็นกระดูกสันหลังของประเทศ และไม่ใช่เวลาที่จะมาบอกว่าใครอ่อนแอก็ถอยไป.... ถ้าพูดอยู่แบบนี้ก็คงไม่มีอุตสาหกรรมอะไรที่จะไปสู้กับจีนได้ เพราะเวลานี้แม้แต่อเมริกา และยุโรป ก็ยังต้องรีบออกมาตรการรับมือกับจีนในทันที เมื่อถูกทุ่มตลาด
จึงไม่น่าแปลกใจว่าทำไมเหล็กจีนระบาดมาถึงไทยในตัวเลขที่พุ่งสูงขึ้น เพราะลำพังมาตรการรับมือจากรัฐบาลในการสร้างภูมิคุ้มกัน ป้องกันการโจมตีจากเหล็กจีน ก็เข้าข่ายอยู่ในเกณฑ์สอบตก ล่าช้าไม่ทันเหตุการณ์ หลายนโยบายที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาอุตสาหกรรมเหล็กไทยก็ไปไม่ถึงฝัน จนเวียดนามปาดหน้าไปแล้ว เวลานี้บอกได้คำเดียวว่า ผู้ประกอบการต้องช่วยตัวเอง!!!หรือรอวันปิดกิจการไปทีละราย !!!
คอลัมน์ : Let Me Think
โดย : TATA007