ปีหน้าเศรษฐกิจโลกจะชัดเจนกว่านี้ ส่วนจะ “ขาลง” ถึงขั้นไหน?...แตะพื้นอย่างแรงหรือค่อยๆ แตะพื้น เป็นเรื่องที่จะต้องติดตาม!!
ระบบเศรษฐกิจต้องมีการหมุนเวียนของรายได้และรายจ่ายของภาคครัวเรือน ภาคธุรกิจ ภาครัฐทั้งในประเทศและต่างประเทศ
หมายถึงการที่ประชาชนมีงานทำมีรายได้ นำมาใช้จ่ายในตลาดสินค้าและบริการ จ่ายภาษีให้ภาครัฐ หรือหากมีเงินเหลือก็ออมในสถาบันการเงิน หรือลงทุนในธุรกิจตลาดหลักทรัพย์ฯ ซื้อหุ้นและกองทุนต่างๆ
ภาคธุรกิจมีรายได้จากการขายสินค้าและบริการ โดยการนำเงินลงทุนจากสถาบันการเงินมาผลิตสินค้าและบริการ จ่ายดอกเบี้ย จ่ายค่าแรง จ่ายตลาดปัจจัยการผลิต อีกทั้งจ่ายภาษีรายได้ ภาษีมูลค่าเพิ่มให้แก่ภาครัฐ
ขณะที่ภาครัฐมีรายได้จากภาษีต่างๆ แล้วนำมาใช้จ่ายในการสร้างสาธารณูปโภคต่างๆ รวมทั้งสนับสนุนส่งเสริมควบคุมให้ภาคครัวเรือนและภาคธุรกิจ ทำการสร้างรายได้เป็น “รายได้ประชาชาติ” ที่เป็นตัวชี้วัด “ผลผลิตมวลรวมของประชาชาติ” หรือ GDP (Gross Domestic Product)
GDP เป็นตัวเลขที่รวบรวมมาจากผลผลิตของภาคครัวเรือน ภาครัฐและภาคธุรกิจทั้งประเทศ รวมทั้งยังเป็นตัวชี้วัดความเจริญเติบโตเศรษฐกิจของประเทศด้วย
โลกเราเวลานี้อยู่ในขั้นวิกฤติทางเศรษฐกิจนะครับ นักลงทุนทั่วโลกก็อยู่ในภาวะเสี่ยงสูงอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
การเมืองร้อนทั่วโลก ทั้งที่สหรัฐฯ จีน อังกฤษ อิตาลี อาร์เจนตินา และฮ่องกง
แต่ปัจจุบันเศรษฐกิจไทยเรายังโชคดีที่ยังมีกินมีใช้อยู่ แม้การเมืองจะยังไม่ถือว่านิ่ง แต่รัฐบาล “ประยุทธ์ 2” ก็ยังเอาอยู่ นอกจากนั้นก็ยังถือว่าโชคดีที่เศรษฐกิจระดับบนยังไปได้
เพียงแต่รัฐบาลต้องหาวิธีกระตุ้นเศรษฐกิจ
รวมทั้งหาวิธีการปล่อยกู้ที่ง่าย และสะดวกให้ผู้กู้มากกว่านี้ ซึ่งรัฐบาลก็มีมาตรการต่างๆ ออกมากระตุ้นเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง
ตั้งแต่ออกมาตรการ “ประชานิยม” แจกเงินผู้มีรายได้น้อย นโยบาย “ชิมช้อปใช้” และล่าสุด ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ออกมาตรการลดดอกเบี้ยนโยบาย 1.25% ต่อปี หวังให้ค่าเงินบาทอ่อนเพื่อพยุงเศรษฐกิจ
นอกจากนั้น เมื่อมองภาพเศรษฐกิจโดยรวม ก็ยังมีแนวโน้มว่าจะค่อยๆ ดีขึ้นเรื่อยๆ เว้นแต่จะมีปัญหาอื่นแทรกซ้อนขึ้นมาเท่านั้น
คอลัมน์ อยู่กับปัจจุบัน โดย พงษ์ศักดิ์ ศรีสด
หน้า 14 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 3,523 วันที่ 17-20 พฤศจิกายน 2562