โลกเราเวลานี้กำลังอยู่ในขั้น “วิกฤติทางเศรษฐกิจ” นักลงทุนทั่วโลกก็กำลังอยู่ในภาวะเสี่ยงสูงอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน...
การเมืองที่สหรัฐฯ อิตาลี อาร์เจนตินา และปัญหาการขอแยกตัวออกจากสหภาพยุโรปของอังกฤษ ปัญหาความรุนแรงในตะวันออกกลาง ปัญหาความรุนแรงของ “ม็อบ” ที่ฮ่องกง และ ฯลฯ
ส่วนไทยเรายังมีกินมีใช้อยู่ครับ การเมืองยังถือว่านิ่ง แม้คลื่นใต้นํ้าจะเดือดปุดๆ แต่ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็ยังเอาอยู่ รวมทั้งสามารถประคับประคอง “เรือเหล็ก” เสียงปริ่มนํ้าให้แล่นฝ่าคลื่นลม/และพายุไปได้เรื่อยๆ เพราะเศรษฐกิจระดับบนของประเทศยังไปได้!!
ไทยเราโชคดีที่ค่าเงินบาทมั่นคง ซึ่งคนไทยทั่วไปไม่รู้หรอก ว่า ชาติอื่น?เขาลำบากกันแค่ไหน แต่เรายังสามารถกระตุ้นการหมุนเวียนของรายได้/และรายจ่ายของประชาชนได้ ในขณะที่หนี้ครัวเรือนทั่วโลกสูงมากเหลือเกิน
เพียงแต่รัฐบาลต้องมียุทธศาสตร์และยุทธวิธี รวมทั้งหาวิธีอะไร?มากระตุ้นเศรษฐกิจ หลังจากแคมเปญ “ชิม-ช้อป-ใช้” ได้รับความนิยมจากพี่น้องคนไทยอย่างล้นหลาม จนครม.ต้องอนุมัติให้เปิด เฟส 2 เพื่อเก็บตกคนที่สนใจซํ้าอีกรอบ
ระบบเศรษฐกิจต้องมีการหมุนเวียนของรายได้และรายจ่ายของภาคครัวเรือน ภาคธุรกิจ ภาครัฐทั้งในประเทศและต่างประเทศ (ตรงนี้ คือหัวใจที่ผู้เขียนต้องการให้ท่านผู้อ่านยึดเป็นจุดสำคัญของเรื่องนะครับ)
หมายความว่า การที่ประชาชนมีงานทำมีรายได้นำมาใช้จ่ายในตลาดสินค้าและบริการ จ่ายภาษีให้ภาครัฐ หรือหากมีเงินเหลือก็ออมในสถาบันการเงินหรือลงทุนในธุรกิจตลาดหลักทรัพย์ฯ ซื้อหุ้นและกองทุนต่างๆ
ภาคธุรกิจมีรายได้จากการขายสินค้าและบริการ โดยการนำเงินลงทุนจากสถาบันการเงินมาผลิตสินค้าและบริการ จ่ายดอกเบี้ย จ่ายค่าแรงจ่ายตลาดปัจจัยการผลิต อีกทั้งจ่ายภาษีรายได้ ภาษีมูลค่าเพิ่มให้แก่ภาครัฐ
ขณะที่ภาครัฐมีรายได้จากภาษีต่างๆ ก็จะนำเงินไปใช้ในการสร้างสาธารณูปโภค การสนับสนุนการส่งเสริมการควบคุมให้ภาคครัวเรือน/ภาคธุรกิจมีการสร้างรายได้เป็น “รายได้ประชาชาติ” เพื่อวัดเป็น “ผลผลิตมวลรวมของประชาชาติ” หรือ GDP : Gross Domestic Product ที่เป็นตัววัดความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศ
เช่นเดียวกับสงครามการค้าของสหรัฐฯกับจีน และของสหรัฐฯ กับยุโรป ที่ส่งผลกระทบไปทั่วโลก ทำให้เศรษฐกิจโลกรวมทั้งไทย ที่ถดถอยมานานไม่สามารถโงหัวขึ้นได้ในระยะอันใกล้...
ซํ้าร้ายกว่านั้น ถ้าผลการเจรจาระหว่างสหรัฐฯ กับจีน ไม่มีความคืบหน้าก็ยิ่งจะทำให้เศรษฐกิจถดถอยไปเรื่อยๆ ยิ่งการเจรจายืดเยื้อไปนานเท่าไหร่ หรือถึงสิ้นปี ปีหน้าก็ถือว่าเป็นเศรษฐกิจ “ขาลง” อย่างชัดเจน ส่วนจะแตะ (พื้น) แรง หรือแตะค่อย ก็ขึ้นอยู่กับ “ปัจจัย” อย่างอื่นประกอบด้วย
แต่ยังไงก็ต้องอดทนปีหน้าอีกปี (เป็นอย่างน้อย) “วิกฤติทางเศรษฐกิจ” จึงจะค่อยๆ ดีขึ้น ต่อไปนี้ก็ต้องมาลุ้นกันว่ารัฐบาลจะมีกลยุทธ์อะไร หรือใช้วิธีอะไรมากระตุ้นเศรษฐกิจให้หวนกลับมาเหมือนเดิมอีก หลังจากมาตรการ “ชิม ช้อป ใช้” ขับเคลื่อนเศรษฐกิจได้ระดับหนึ่งแล้ว!!
คอลัมน์อยู่กับปัจจุบัน โดย พงษ์ศักดิ์ ศรีสด
หน้า 14 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 39 ฉบับที่ 3,517 วันที่ 27-30 ตุลาคม 2562