“ซักฟอกบิ๊กตู่”ส่อแววกร่อย ฝ่ายค้านหมัดเบาหวิว

15 ก.ย. 2562 | 04:40 น.

คอลัมน์ฐานโซไซตี ฐานเศรษฐิจ ฉบับ 3505 หน้า 4 ระหว่างวันที่ 15-18 ก.บ.2562 โดย... ว.เชิงดอย


“ซักฟอกบิ๊กตู่”ส่อแววกร่อย ฝ่ายค้านหมัดเบาหวิว 



          .... ดูท่าการอภิปรายทั่วไปตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 152 โดยไม่มีการลงมติ ของส.ส.ฝ่ายค้าน กรณีการถวายสัตย์ปฏิญาณของคณะรัฐมนตรี ก่อนเข้ารับหน้าที่ ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 161 ตามที่สภาผู้แทนราษฎรได้บรรจุเป็นวาระการประชุมเพื่อเปิดอภิปราย ในวันที่ 18 กันยายนนี้ งานท่าจะ “กร่อย” เสียแล้ว

          .... เพราะเมื่อวันที่ 11 กันยายน ที่ผ่านมา “ศาลรัฐธรรมนูญ” มีมติเอกฉันท์ไม่รับคำร้องที่ผู้ตรวจการแผ่นดินส่งคำร้องของ นายภาณุพงศ์ ชูรักษ์ มาให้พิจารณาวินิจฉัยว่า การที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรี ถวายสัตย์ปฏิญาณต่อพระมหากษัตริย์ไม่เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ เป็นการกระทำที่ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ ใช้บังคับไม่ได้ตามรัฐธรรมนูญ และเป็นการกระทำที่ละเมิดต่อสิทธิและเสรีภาพของผู้ร้องเรียนนั้น ศาลเห็นว่าการถวายสัตย์ปฏิญาณต่อพระมหากษัตริย์เป็นการกระทำทางการเมือง (Political Issue)ของคณะรัฐมนตรีในฐานะที่เป็นองค์กรตามรัฐธรรมนูญฝ่ายบริหารในความสัมพันธ์เฉพาะกับพระมหากษัตริย์อันอยู่ในความหมายของการกระทำของรัฐบาล (Act of Government)ตามพ.ร.ป.ว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2561 มาตรา 47(1) ศาลรัฐธรรมนูญจึงไม่อาจรับคำร้องไว้พิจารณาได้

          .... นอกจากนี้เมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม 2562 เวลา 17.45 น. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้นายกรัฐมนตรีนำคณะรัฐมนตรีซึ่งทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้ง เข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทถวายสัตย์ปฏิญาณ ก่อนเข้ารับหน้าที่ ณ พระที่นั่งอัมพรสถาน พระราชวังดุสิต หลังจากนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีกล่าวคำถวายสัตย์ปฏิญาณจบ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้พระราชทานพระราชดำรัส เพื่อให้นายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีได้น้อมนำไปเป็นแนวทางในการบริหารราชการแผ่นดิน

          ....และต่อมาเมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2562 เวลา 09.00 น. นายกรัฐมนตรีพร้อมคณะรัฐมนตรีได้เข้ารับพระราชดำรัสในโอกาสเข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทถวายสัตย์ปฏิญาณก่อนเข้ารับหน้าที่ซึ่งพระราชทานเป็นลายลักษณ์อักษรพร้อมทั้งทรงลงพระปรมาภิไธยโดยเข้ารับต่อหน้าพระบรมฉายาลักษณ์ณห้องรับรอง ชั้น 5 ตึกบัญชาการ ทำเนียบรัฐบาล การถวายสัตย์ปฏิญาณต่อพระมหากษัตริย์ดังกล่าว จึงไม่อยู่ในอำนาจการตรวจสอบขององค์กรตามรัฐธรรมนูญใด

          ....และศาลรัฐธรรมนูญ ยังมีมติเอกฉันท์ ไม่รับคำร้องในประเด็นเดียวกัน จากกรณีที่ นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ อดีตสมาชิกพรรคไทยรักษาชาติ ยื่นขอให้วินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญมาตรา 49 ว่า การถวายสัตย์ปฏิญาณของ พล.อ.ประยุทธ์ ไม่ครบถ้วน และการแถลงนโยบายของคณะรัฐมนตรีต่อรัฐสภาไม่เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ เข้าข่ายเป็นการใช้สิทธิเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข โดยเห็นว่าเป็นกรณีที่นายเรืองไกรกล่าวอ้างว่า พล.อ.ประยุทธ์ ไม่กระทำการให้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญมาตรา 161 และมาตรา 162 ซึ่งเป็นการกระทำที่เป็นข้อเท็จจริงที่ พล.อ.ประยุทธ์ ได้ดำเนินการหรือยุติไปแล้ว ก่อนที่จะยื่นต่อศาลให้วินิจฉัย โดยไม่ปรากฏข้อเท็จจริงที่เกี่ยวข้องกับการใช้สิทธิหรือเสรีภาพ เพื่อกระทำการล้มล้างการปกครองฯ แต่อย่างใด กรณีจึงไม่ต้องด้วยหลักเกณฑ์และเงื่อนไขตามรัฐธรรมนูญ และพ.ร.ป.ว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ ที่ศาลรัฐธรรมนูญจะรับคำร้องไว้พิจารณาวินิจฉัยได้... คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่ออกมาดังกล่าว น่าจะเป็นประโยชน์อย่างมากต่อ พล.อ.ประยุทธ์ ที่จะใช้เป็นข้อต่อสู้และชี้แจงต่อสภาได้อย่างสบาย อย่างน้อยๆ พล.อ.ประยุทธ์ ก็สบายใจได้ว่า เรื่องนี้ไม่สามารถทำอะไรรัฐบาลได้ จนถึงขั้นมีผลกระทบทางการเมือง แต่สิ่งที่อาจเจอก็คือ “ความรำคาญ” และการยั่วเพื่อให้เกิดอารมณ์โมโหจาก “ฝ่ายค้าน” เท่านั้น

          ....หันไปดูอีกเรื่องที่ยังคาราคาซังอยู่ที่ “ศาลรัฐธรรมนูญ” ต่อกรณีมีการยื่นคำร้องว่า สมาชิกภาพ ส.ส.ของ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ สิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 101(6) ประกอบมาตรา 98 (3) หรือไม่ จากกรณีการถือครองหุ้นในธุรกิจสื่อ บริษัท วี-ลัค มีเดีย จำกัด โดยล่าสุดศาลได้มีคำสั่งนัดไต่สวนพยานบุคคลรวดเดียว ใช้เวลาวันเดียว 10 ปาก ในวันศุกร์ที่ 18 ตุลาคมนี้ เวลา 09.00น. ณ ห้องพิจารณาคดี ชั้น 3 ศาลรัฐธรรมนูญ สำหรับพยาน 10 ปากที่ศาลจะเรียกเข้าไต่สวนนอกจากนายธนาธร เองแล้ว น่าจะมีคนอื่นๆ อีก อาทิ แม่ของนายธนาธร, หลานผู้รับโอน 2 คน, ภริยาของนายธนาธร, ทนาย และ เจ้าหน้าที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.)

          .... คำสั่ง “ศาลรัฐธรรมนูญ” ที่ออกมาดังกล่าว น่าจะเป็นที่ “พอใจ” ของฝ่ายธนาธร ที่ก่อนหน้านี้ ปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ ได้ออกมาเรียกร้องให้ศาลเปิดไต่สวนยาน โดยอ้างว่ามีประเด็นที่มีลักษณะเข้าข่ายข้อกฎหมายและข้อเท็จจริงที่ต้องพิจารณา และหลักฐานเอกสารที่ยื่นไปมีเนื้อหากว่า 70 หน้า และมีเอกสารประกอบจำนวนมาก... ก็สมใจเขาหล่ะ ว่าแต่ว่ากับ 10 พยานบุคคล ที่สื่อคาดการณ์กันออกมาว่าน่าจะมีทั้ง “แม่-หลาน 2 คน-ภริยาของนายธนาธร” จะเป็นประโยชน์หรือโทษต่อธนาธร ชวนให้น่าติดตามยิ่งนัก...