ตอนที่แล้วเขียนเรื่อง “ปิดตำนานหน่วยงานเสือกระดาษ” กับภารกิจของ “รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เทวัญ ลิปตพัลลภ” ในการพลิกโฉมการทำงานของสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค หรือ สคบ. ให้เป็นหน่วยงานที่ทรงพลังไม่เป็นเสือกระดาษเหมือนในอดีตอย่างที่มีการปรามาสกัน
จนมีแฟนคอลัมน์ถามทางเฟซบุ๊กแฟนเพจ “อินไซด์สนามข่าว” ของผมอยากให้ขยายความอีกนิดว่า รัฐมนตรีคนเดียวจะช่วยให้งานคุ้มครองผู้บริโภคเข้มแข็งขึ้นทันตาเห็นขนาดนั้นหรือ ถ้าให้ตอบตามตรงก็คือ ฝ่ายนโยบาย ก็เป็นส่วนหนึ่งของความเข้มแข็ง เพราะอีกส่วนฝ่ายปฏิบัติเองก็ต้องมีอาวุธลับที่ช่วยให้เข้มแข็งได้ด้วยตัวเอง
อาวุธใหม่ของสคบ.ในที่นี้ หมายถึง พ.ร.บ.คุ้มครองผู้บริโภค (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2562 ที่เผยแพร่ในราชกิจจานุเบกษา วันที่ 27 พฤษภาคม 2562 มีเนื้อหาทั้งหมด 38 มาตรา เมื่อพ้นกำหนด 90 วันนับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไปกฎหมายจะมีผลใช้บังคับ นั่นหมายความว่าอาวุธใหม่ของสคบ. มีผลใช้บังคับวันอาทิตย์ที่ 25 สิงหาคม 2562 เป็นต้นไป
หน้าตาของพ.ร.บ. นี้ ครอบคลุมการดูแลผู้ประกอบการไม่ให้เอาเปรียบผู้บริโภค ตั้งแต่การปรับเปลี่ยนโครงสร้างผู้บริหาร ให้มีคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิประกอบด้วย 6 คน ที่เชี่ยวชาญด้านวิชาการ ภาคประชาชน และผู้ประกอบการ ด้านละ 2 คน รวมถึงให้คณะกรรมการผู้บริโภคมีอำนาจในการพิจารณาหน่วยงานรับผิดชอบดูแล แก้ไขปัญหา และเร่งรัดดำเนินงานควบคุมดูแลการโฆษณาให้มีความถูกต้องและเป็นธรรมแก่ผู้บริโภค จากเดิมที่ต้องใช้เวลาในการพิสูจน์ข้อเท็จจริงที่ใช้เวลานาน แต่ปัจจุบันหากตรวจพบหรือสันนิษฐานว่าผู้ประกอบการโฆษณาสินค้าเกินจริง คณะกรรมการสามารถระงับการนำเสนอโฆษณาหรือสั่งแก้ไขได้ทันที รวมถึงการฟ้องดำเนินคดีกับผู้ประกอบการจากเดิมต้องผ่านบอร์ดบริหาร
แต่หากพบว่าเป็นกรณีเร่งด่วน “เลขาธิการคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค” ดำเนินการก่อนได้
และยังมีการเพิ่มโทษสำหรับผู้ประกอบการที่เอาเปรียบผู้บริโภค ขายสินค้าไม่มีคุณภาพ จากเดิมจำคุก 6 เดือน ปรับ 5 หมื่นบาท ให้เพิ่มค่าปรับเป็น 1 แสนบาท นอกจากนั้นยังมีสภาองค์กรผู้บริโภค ที่รวมตัวกันเพื่อเป็นอีกหนึ่งช่องทางที่ช่วยเหลือผู้บริโภค
และที่เป็นมิติใหม่ คือ การให้อำนาจกับท้องถิ่นสามารถดำเนินการได้ครอบคลุมทุกพื้นที่ ต่างจากเดิมที่ต้องส่งเรื่องมายังหน่วยงานกลางซึ่งทำให้ล่าช้าขึ้น โดยมีการกระจายงาน เช่น การรับเรื่องร้องทุกข์ การตรวจสอบ การสื่อสารประชาสัมพันธ์ การรวมตัวของเครือข่าย โดยเฉพาะเรื่องการตรวจสอบความผิดในแต่ละพื้นที่ และเงินค่าปรับที่ได้มาจากการกระทำผิดไม่ต้องส่งให้ส่วนกลาง แต่ให้กับพื้นที่ เพื่อจะได้นำไปสร้างความเข้มแข็งให้กับพื้นที่ และยังทำให้สามารถดำเนินการแก้ไขปัญหาได้รวดเร็วยิ่งขึ้น
“สารี อ๋องสมหวัง เลขาธิการมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค” ชี้จุดแข็งของ พ.ร.บ. คุ้มครองผู้บริโภคฉบับใหม่ คือ การให้อำนาจสคบ. ฟ้องคดีเองได้ น่าจะทำให้กระบวนการคุ้มครองผู้บริโภคเป็นไปได้อย่างรวดเร็ว และช่วยลดการเอารัดเอาเปรียบจากผู้ประกอบการลงได้ แต่ก็ยังมีจุดอ่อนในองค์ประกอบของคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค ที่ต้องการให้เพิ่มสัดส่วนตัวแทนฝั่งประชาชน จาก 2 เป็น 4 คนและใช้คำที่บ่งบอกชัดเจนว่ามาจากสภาองค์กรฯ รวมทั้งควรเพิ่มสัดส่วนตัวแทนผู้บริโภคในคณะกรรมการเฉพาะด้าน เช่น ด้านโฆษณา ด้านฉลาก ด้านสัญญา ด้านความปลอดภัยของสินค้า เพื่อให้ผู้บริโภคได้มีส่วนร่วมในการเสนอแนะปัญหาและอุปสรรคในการคุ้มครองผู้บริโภคด้านต่างๆ
สารี อ๋องสมหวัง
แต่สิ่งที่จะทำให้งานคุ้มครองผู้บริโภค ภายใต้พ.ร.บ.สคบ.ฉบับใหม่ ทรงพลังมากขึ้น คือการมี “สภาองค์กรของผู้บริโภค”
คุณสารี อธิบายให้เห็นภาพการทำงานว่า สภาองค์กรฯ เป็นการรวมตัวกันของกลุ่มผู้บริโภคและองค์กรผู้บริโภค แต่ต้องไม่ได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐ ภาคธุรกิจ และพรรคการเมือง เพื่อให้ทำงานได้อย่างเป็นกลาง และไม่เอื้อผลประโยชน์กับฝ่ายใด ซึ่งการมีสภาองค์กรฯ จะช่วยลดขั้นตอนในการเดินทางร้องเรียนตามหน่วยงานต่างๆ
เพราะกฎหมายมอบอำนาจให้สภาองค์กรฯ สามารถไกล่เกลี่ยช่วยเหลือได้ และฟ้องคดีแทนผู้บริโภคได้อีกด้วย นั่นเท่ากับว่า ผู้บริโภคในปี 2019 เป็นต้นไป จะมีอาวุธที่เป็นตัวช่วยและทางเลือกในการสู้คดีได้หลากหลายขึ้นแน่นอน
คอลัมน์ อินไซด์สนามข่าว โดย จีรพงษ์ ประเสริฐพลกรัง
หน้า 14 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 3500 วันที่ 29-31 สิงหาคม 2562